ผู้ประกอบการผลิตอาหารสัตว์ โอดพิษสงครามรัสเซีย-ยูเครน กระทบหนักวัตถุดิขาดแคลนและราคาสูงเป็นประวัติการณ์ บางรายการสูงถึง 43 % หวั่นเกิดผลกระทบต่อห่วงโซ่ภาคการผลิตอาหารทั้งระบบ และความมั่นคงทางอาหารของประเทศ วอนร้องกระทรวงพาณิชย์ “ปลดล็อก” มาตรการคุมราคาสินค้าตั้งแต่ต้นทางจนถึงปลายทาง ขอปล่อยราคาอาหารสัตว์และเนื้อสัตว์ให้เป็นไปตามกลไกตลาด
แหล่งข่าวจากผู้ประกอบการผลิตอาหารสัตว์ แจ้งว่า จากสถานการณ์การสู้รบระหว่างรัสเซีย-ยูเครน ไม่เพียงส่งผลกระทบต่อความมั่นคงทางเศรษฐกิจของโลกเท่านั้น แต่ยังกระทบความมั่นคงทางอาหารของผู้บริโภคทั่วโลกด้วย เนื่องจากทั้ง 2 ประเทศ เป็นผู้ผลิตธัญพืชสำคัญของโลกทั้ง ข้าวโพดเลี้ยงสัตว์และข้าวสาลี ซึ่งเป็นวัตถุดิบสำคัญในการผลิตอาหารสัตว์ ส่งผลให้ราคาข้าวโพดเลี้ยงสัตว์สูงขึ้น 14% และข้าวสาลีพุ่งขึ้น 43% เมื่อเทียบกับเดือนธันวาคม 2564
ในกรณีที่สงครามยืดเยื้อราคาจะปรับสูงขึ้นไม่หยุด และจะก่อให้เกิดปัญหาวัตถุดิบมีราคาสูงมากจนกระทั่งขาดแคลน หากภาครัฐไม่มีมาตรการสนับสนุนภาคการผลิต จะทำให้ส่งผลกระทบโดยตรงต่อค่าครองชีพของประชาชนอย่างแน่นอน
ขณะนี้ ผู้ผลิตอาหารสัตว์ได้รับผลกระทบอย่างหนักจากราคาข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ปรับตัวสูงขึ้นมากตามราคาตลาดโลก ขณะที่ราคาอาหารสัตว์และเนื้อสัตว์เป็นสินค้าควบคุมราคาภายใต้มาตรการของกระทรวงพาณิชย์ ทำให้ผู้ประกอบการไม่สามารถปรับราคาได้ตามต้นทุนที่สูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะราคาวัตถุดิบอาหารสัตว์หลักในเดือนธันวาคม 2564 เทียบกับเดือนมีนาคม 2565 ราคาข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ปรับเพิ่มจาก 10.05 บาท/กก. เป็น 12.65 บาท/กก. ข้าวสาลีนำเข้าจาก 8.91 บาท/กก. เป็น 12.75 บาท/กก. และกากถั่วเหลืองจากเมล็ดนำเข้าเพิ่มจาก 19.50 บาท/กก. เป็น 22.50 บาท/กก. (เพิ่มขึ้น 15%)
คาดว่าอนาคตอันใกล้หากอาหารสัตว์ไม่สามารถปรับราคาได้ตามต้นทุนการผลิต โรงงานอาหารสัตว์อาจตัดสินใจหยุดไลน์การผลิต และจะทำให้อาหารสัตว์ขาดแคลนและกระทบต่ออุตสาหกรรมการเลี้ยงสัตว์แน่นอน รัฐบาลจึงควรพิจารณามาตรการที่ก่อให้เกิดความเป็นธรรมด้านราคากับทุกฝ่าย
ล่าสุด บริษัท กรุงเทพโปรดิ๊วส จำกัด (มหาชน) ผู้รับซื้อข้าวโพดเลี้ยงสัตว์รายใหญ่ แจ้งปรับราคารับซื้อข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ สำหรับข้าวโพดหลังนาต้นฤดูในราคาสูงสุดที่ 12.65 บาท/กก. เพื่อสร้างหลักประกันในการส่งมอบวัตถุดิบให้กับลูกค้า และลดความเสี่ยงด้านราคาที่อาจจะปรับตัวสูงขึ้นอีกหากสงครามยืดเยื้อ
ปัจจุบัน ข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ อยู่ภายใต้มาตรการควบคุมราคาขั้นต่ำ (Floor Price) เพื่อสนับสนุนเกษตรกรซึ่งเป็นภาคการผลิตต้นทาง โดยกำหนดราคาประกันขั้นต่ำเมล็ดข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ ความชื้น 14.5% ที่ 8.50 บาท/กก. และจะจ่ายส่วนต่างราคาให้กับเกษตรกรเมื่อราคาตลาดต่ำกว่า 8.50 บาท/กก. ขณะนี้ราคาข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ สูงกว่าราคาประกันตั้งแต่เดือนตุลาคมปีที่แล้ว แต่รัฐบาลไม่มีการกำหนดเพดานราคา (Ceiling Price) ทำให้ส่งผลกระทบต่ออุตสาหกรรมการผลิตกลางน้ำอย่างโรงงานผลิตอาหารสัตว์ ที่ต้องรับซื้อวัตถุดิบในราคาที่สูงโดยไม่สามารถปรับราคาขายได้ ซึ่งอาจทำให้ต้องลดกำลังการผลิตลง ขณะที่ผู้เลี้ยงสัตว์ก็ไม่สามารถปรับราคาหน้าฟาร์มได้เช่นกัน
แหล่งข่าวระบุว่า มาตรการคุมราคาของภาครัฐกำลังทำลายคลังอาหารของประเทศ หากผู้ผลิตอาหารสัตว์หยุดไลน์การผลิต ผู้เลี้ยงสัตว์ลดปริมาณการเลี้ยงลง เนื่องจากไม่สามารถปรับราคาขายได้ ห่วงโซ่การผลิตอาหารของประเทศจะหยุดชะงัก และสินค้ามีโอกาสจะหายไปจากตลาด ขณะที่ราคาถึงผู้บริโภคสูงมาก รัฐควรบริหารจัดการให้เกิดความเป็นธรรมกับทุกฝ่าย และบริหารจัดการให้มีอาหารบริโภคอย่างเพียงพอในทุกสถานการณ์
แม้วิกฤตสงครามรัสเซีย-ยูเครน จะเป็นแรงผลักดันทุนการผลิตต่างๆ ทั้งน้ำมัน สินค้าโภคภัณฑ์ และอาหารราคาพุ่งสูงขึ้น แต่รัฐบาลต้องบริหารจัดการทั้งซัพพลายและดีมานด์ให้เกิดความสมดุล โดยเฉพาะการให้กลไกตลาดทำงานอย่างมีประสิทธิภาพ และต้องยกเลิกการแทรกแซงตลาดด้วยการควบคุมราคาหรือตรึงราคาสินค้า เพราะเป็นการทำร้ายภาคการผลิตในภาวะต้นทุนที่สูงขึ้นจากปัจจัยที่รัฐบาลไม่สามารถควบคุมได้