ทูตพาณิชย์จีน หารือสภาเกษตรกรแห่งชาติฯ ถก 3 เรื่องว่าด้วยความร่วมมือภาคเกษตรทั้ง 2 ประเทศ เผยจีนยังต้องการสินค้าเกษตรจากไทยอีกมาก เผยล่าสุดไทยส่งไปจีนโต 52 % แนะไทยให้เพิ่มด้านประชาสัมพันธ์ให้เป็นที่รู้จักในประเทศจีนมากขึ้น
นายประพัฒน์ ปัญญาชาติรักษ์ ประธานสภาเกษตรกรแห่งชาติ กล่าวภายหลังประชุมหารือกับนายหวาง ลี่ผิง อัครราชทูตที่ปรึกษาฝ่ายเศรษฐกิจและพาณิชย์ สถานเอกอัครราชทูตสาธารณรัฐประชาชนจีนประจำประเทศไทย และคณะ ณ ห้องประชุม 1 สำนักงานสภาเกษตรกรแห่งชาติ อาคารรัฐประศาสนภักดี (อาคาร B) ศูนย์ราชการเฉลิมพระเกียรติฯ กรุงเทพฯ ว่า สภาเกษตรกรแห่งชาติต้องขอขอบคุณ อัครราชทูตที่ปรึกษาฝ่ายเศรษฐกิจและพาณิชย์ ที่กรุณามาหารือกัน
สำหรับการหารือในครั้งนี้มี 3 เรื่องที่สภาเกษตรกรแห่งชาติต้องดำเนินการต่อจากนี้ คือ เรื่องบันทึกข้อตกลงความร่วมมือ (MOU) ระหว่างรัฐบาลไทยและรัฐบาลจีน สภาเกษตรกรแห่งชาติจะขอนัดหมายกับรัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ อธิบดีกรมปศุสัตว์ เพื่อผลักดันเร่งรัดให้เกิดบันทึกข้อตกลงความร่วมมือระหว่างกันโดยเร็ว, การพูดคุยกับเกษตรกรเพื่อให้ปรับปรุงกระบวนการผลิตให้เหมาะสมสำหรับการส่งออก และเรื่องการประสานงานความร่วมมือกันระหว่างเกษตรกรไทยและเกษตรกรจีน ซึ่งทั้ง 3 เรื่องนี้สภาเกษตรกรแห่งชาติจะพยายามประสานพร้อมผลักดันต่อไป
ด้าน นายหวาง ลี่ผิง กล่าวถึงความร่วมมือระหว่างประเทศไทยและจีนว่า ประเทศจีนกับประเทศไทยมีสัมพันธไมตรีที่ดีต่อกัน มีความร่วมมือกันในระดับรัฐบาล และระดับองค์กร ซึ่งในปี 2564 ที่ผ่านมา การค้าขายสินค้าเกษตรระหว่างไทยกับจีนมีมูลค่า 16,000 ล้านเหรียญสหรัฐ โดยมูลค่าการส่งออกสินค้าไทยไปจีนมีมูลค่าถึง 12,000 ล้านบาท มองว่าการค้าในอนาคตระหว่างไทยกับจีนควรดำเนินการดังนี้
1.การใช้ประโยชน์จากระบบการขนส่ง โดยเฉพาะรถไฟความเร็วสูงจีน-ลาว ซึ่งเป็นการลดค่าใช้จ่าย ซึ่งจะส่งผลให้สินค้าเกษตรไทยมีศักยภาพในการแข่งขันมากขึ้น
2.การเสริมสร้างและการแลกเปลี่ยนข้อมูลเกี่ยวกับสินค้าเกษตร จะช่วยให้สินค้าไทยมีส่วนแบ่งตลาดในจีนเพิ่มมากขึ้น และ 3.เมื่อปี 2564นายสี จิ้นผิง ประธานาธิบดีของจีน ได้กล่าวในที่ประชุมสุดยอดอาเซียน-จีน สมัยพิเศษ เพื่อฉลองวาระครบรอบ 30 ปีความสัมพันธ์อาเซียน-จีน ว่าจีนจะนำเข้าสินค้าเกษตรจากอาเซียน มูลค่า 150,000 ล้านเหรียญสหรัฐ จึงเป็นโอกาสอันดีที่สินค้าเกษตรของไทยจะครองส่วนแบ่งตลาดในประเทศจีนมากขึ้น
อย่างไรก็ตาม ตลาดประเทศจีนมีความต้องการสินค้าเกษตรจากประเทศไทยเป็นอย่างมาก ในปี 2564 การส่งออกสินค้าเกษตรไทยไปประเทศจีนเติบโตขึ้นถึง 52% แสดงให้เห็นถึงศักยภาพของสินค้าเกษตรไทย หากเพิ่มเรื่องการประชาสัมพันธ์ให้เป็นที่รู้จักในประเทศจีนมากขึ้น ก็จะทำให้สินค้าเกษตรของไทยเป็นที่ต้องการมากขึ้นเช่นกัน
เขา กล่าวอีกว่า สำหรับแนวทางเพื่อให้เกษตรกรไทยได้ผลิต ผลผลิต , ผลิตภัณฑ์ได้ตรงตามความต้องการตลาดของประเทศจีน ได้แก่ 1. ทั้งสองฝ่ายควรดำเนินความร่วมมือกันตลอดกระบวนการผลิต เริ่มตั้งแต่การปลูก แปรรูป บรรจุหีบห่อ และจัดจำหน่าย
2. สภาเกษตรกรแห่งชาติควรเข้ามามีบทบาทสำคัญด้านการประสานความร่วมมือให้กับเกษตรกรและผู้ส่งออกของไทยเพื่อจัดแสดงสินค้าเกษตรไทยในเมืองใหญ่ๆ ของประเทศจีน เช่น เซี่ยงไฮ้ หนานหนิง เป็นต้น
3. การจับมือกับบริษัทจากประเทศจีนด้านการประชาสัมพันธ์และจำหน่ายสินค้าเกษตรไทยด้วยระบบออนไลน์
” เกษตรกรไทยมีความขยันขันแข็ง จะเป็นส่วนช่วยในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจประเทศไทยให้เติบโตได้เป็นอย่างดี ควรดำเนินโครงการเพื่อพัฒนาศักยภาพและเพิ่มโอกาสด้านการผลิตสินค้าเกษตรให้ตรงตามความต้องการของตลาดประเทศจีน ซึ่งจะได้เริ่มดำเนินการร่วมกันกับสภาเกษตรกรแห่งชาติต่อไป ” อัครราชทูตที่ปรึกษาฝ่ายเศรษฐกิจและพาณิชย์ กล่าว