เสียงสะท้อนจากเกษตรกรตัวจริง “ของขวัญใหญ่”หรือ “หายนะ”แบน “พาราควอต”

  •  
  •  
  •  
  •  

เสียงสะท้อนจากเกษตรกร ย้อนถามรัฐมนตรีช่วยว่าการกรกระทรวงเกษตร เจ้าของวลี “ของขวัญใหญ่ให้คนไทย” หรือ “หายนะ” กรยกเลิก 3 สารเคมีเพื่อการเกษตร “พาราควอต ไกลโฟเซต-คลอร์ไพริฟอส” ชี้เกษตรกรต้องต่อสู้กับโรคระบาด ภัยแล้ง น้ำท่วม และราคาสินค้าเกษตรตกต่ำ ระบุถ้ายกเลิกใช้ โดยไม่มีสิ่งทดแทน จะเป็นการซ้ำเติมความทุกข์ยากให้แก่เกษตรกร สร้างความเสียหายต่อการผลิตสินค้าเกษตร กระทบการส่งออก เห็นด้วยที่รัฐบาลหนุนเกษตรอินทรีย์ แต่ไม่ใช้ทั้งหมด ต้องครวบคู่กันไป ด้านชาวสวนผลไม้ชื่อดังจันทบุรีผวา กระทบส่งออกแสนล้านบาท แนะทางออกต้องไร้ข้อขัดแย้ง

       กลายเป็นเรื่องที่ใหญ่ที่สุดในรอบประวัติศาสตร์ของภาคการเกษตรของไทย ที่เกิดความขัดแย้งลุกลามขยายวงกว้าง กระทบไปยังประชาชนหลายกลุ่ม หลายองค์กร หลายหน่วยงาน และที่สำคัญที่สุดอาจกระทบกับรัฐบาลทั้งแง่บวกและลบ เมื่อ “ของขวัญปีใหม่” กลายเป็นร้ายยิ่งกว่าสารเคมี กรณีจะแบน หรือยกเลิกใช้ 3 สารเคมี “ พาราควอต-ไกลโฟเซต-คลอร์ไพริฟอส” เพราะคนที่อยู่ในภาคการเกษตร มองว่าอาจเป็นการทำลายโครงสร้างปัจจัยการผลิต สร้างความหายนะต่ออาชีพเกษตรกรไทย และอุตสาหกรรมเกษตรด้วย

       นายเชิดชัย จิณะแสน เกษตรกรต้นแบบ ประธานศูนย์เรียนรู้การเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตสินค้าเกษตรระดับประเทศ (จ.ศรีสะเกษ)และคณะกรรมการอำนวยการขับเคลื่อนการจำกัดการใช้สารเคมีทางการเกษตร กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ อธิบายว่า สารเคมีทั้งสามชนิด ใช้ในประเทศไทยมาประมาณ 50 ปีที่แล้ว โดยไม่เสียภาษีนำเข้า เพราะต้องการลดราคาต้นทุนช่วยเหลือเกษตรกร และทำให้ประเทศไทยเป็นผู้นำทางการเกษตรระดับต้นของโลก มีมูลค่าการส่งออกสูงขึ้นเรื่อย ๆ เพราะมีการใช้สารเคมีเข้ามาเป็นปัจจัยการผลิตที่สำคัญ

      ดั้งนั้น เกษตรกรจึงจำเป็นต้องใช้เป็นปัจจัยการผลิตและลดต้นทุนการผลิตสินค้าเกษตร สภาพภูมิอากาศของไทย ง่ายต่อการเกิดโรค แมลง และวัชพืช ประกอบกับระบบชลประทานไม่ทั่วถึงและไม่เพียงพอ โดยเฉพาะภาคเหนือและอีสาน เดิมเกษตรกรต้องเผาหญ้าหรือวัชพืชก่อนทำเกษตร และใช้สารเคมีเกษตรเพื่อควบคุมวัชพืชนอกเขตพื้นที่ชลประทาน และเมื่อทางการสั่งงดการเผา เกษตรกรจึงต้องใช้สารเคมีในการกำจัดวัชพืช และหากห้ามเผาหญ้าและห้ามใช้สารเคมี เกษตรกรจะทำเช่นไร

      ทางออก นายเชิดชัย เสนอแนะทางออกเพื่อลดความขัดแย้งของ 2 กลุ่ม ได้แก่ กลุ่มที่ต้องการให้แบน และกลุ่มที่ต้องการให้ใช้ คือ ให้ใช้มาตรการการจำกัดการใช้สารเคมี 3 ชนิด ตามประกาศฯ ของกระทรวงเกษตรฯ จะมีผลบังคับใช้ 20ตุลาคม 2562 นี้ ซึ่งเนื้อหาครอบคลุมทุกประเด็นไว้อย่างดี ,  เมื่อมีสารเคมีชนิดใหม่ที่มีขีดความสามารถ ทั้งคุณสมบัติ ราคา ความปลอดภัยต่อชีวิตและสิ่งแวดล้อม และประสิทธิภาพเท่าเทียมหรือดีกว่าสารตัวเดิม จึงค่อยยกเลิกสารทั้ง 3 ชนิดให้โอกาสเกษตรกรปรับตัว เพื่อลดความขัดแย้ง หน่วยงานราชการต้องรับรองวิธีการทดแทน ไม่กระทบเกษตรกรทั้งทางตรงและทางอ้อม

       กระนั้นเกษตรกรต้องต่อสู้กับโรคระบาด ภัยแล้ง น้ำท่วม และราคาสินค้าเกษตรตกต่ำ หากยกเลิกใช้โดยไม่มีสิ่งทดแทนให้กับเกษตรกรแล้ว จะเป็นการซ้ำเติมความทุกข์ยากให้แก่เกษตรกร สร้างความเสียหายต่อการผลิตสินค้าเกษตร กระทบการส่งออก และทำให้ GDP ภาคการเกษตรและภาพรวมของสินค้าทั่วประเทศลดลง, การทำเกษตรอินทรีย์เป็นเรื่องที่ดีที่สุด รัฐบาลควรส่งเสริมให้มากที่สุด เช่นให้ โรงพยาบาล สถานศึกษา โรงแรมร้านอาหารภัตตาคาร และหน่วยงานต่าง ๆ ช่วยรับซื้อสินค้าอินทรีย์ ประกันรายได้ มีการอุดหนุนเงินหรือปัจจัยอื่นให้เกษตรกรผู้ทำอินทรีย์ แต่เกษตรกรไทยไม่สามารถทำอินทรีย์ทั้งประเทศได้ ควรให้โอกาสตามขีดความสามารถ และตามพื้นที่ชนิดของสินค้าเกษตรที่จำเป็นต้องใช้เคมีหรือระบบ GAP

           “ผมทำเกษตรอินทรีย์มา 18 ปี ผมเห็นด้วยกับรัฐบาลในการพยายามให้เกษตรกรทำเกษตรอินทรีย์ให้มากที่สุด เพื่อนำไปสู่การลดสารเคมี แต่ไม่ควรนำประเด็นที่ว่าให้ประเทศไทยเป็นอินทรีย์ทั้งหมด โดยจะต้องยกเลิกสารเคมีทางการเกษตร ซึ่งยังเป็นสิ่งที่ต้องการควบคู่ไปกับการทำเกษตรเคมี และเกษตรปลอดภัย หรือ GAP” เขา กล่าว กล่าวสรุป

      ด้าน นายกิตติ จันทวิสูตร เกษตรกรชาวสวนชื่อดัง “สวนจันทวิสูตร”ที่ตำบลพลวง อำเภอเขาคิชฌกูฏ จังหวัดจันทบุรี กล่าวว่า  ถ้าจะเลือกแบน ควรแบน คลอร์ไพริฟอส ที่เป็นสารจำกัดแมลง เกษตรกรรับได้ เพราะมีสารตัวอื่นทดแทนมากมาย แต่ถ้ามีการแบน พาราควอตและไกลโฟเซต เกษตรกรจะเดือดร้อนอย่างมาก เพราะไม่มีสารใดมาทดแทนช่วยในการกำจัดวัชพืชได้ดี แม้ว่าจะมีสารกลูโฟซิเนต แต่ก็มีราคาแพงกว่ามากและประสิทธิภาพสู้สารทั้งสองตัวไม่ได้ อีกทั้ง สารกำจัดวัชพืชทั้ง 2 สาร ถ้าอันตรายจริงตามการปั่นกระแสของเอ็นจีโอ เกษตรกรคงตายกันไปก่อนหน้า เพราะสารทั้ง 2 เกษตรกรใช้กันมาร่วม 40-50 ปีแล้ว วิธีการที่เหมาะสมที่สุด คือ มาตราการควบคุมการใช้ตามมติก่อนหน้านั้นในฤดูกาลหนึ่ง ๆ เฉพาะจังหวัดจันทบุรี มีการส่งผลไม้ทั้งทุเรียน มังคุด ลำไย กล้วยไข่ รวมกันไม่น้อยกว่า 100,000 ล้านบาท

      “อาวุธปืนเป็นสิ่งที่ใช้ฆ่ากันได้ ในแต่ละปีมีคนตายจากอาวุธปืนจำนวนมาก แต่รัฐก็ไม่ได้แบนอาวุธปืน ยังอนุญาติให้พลเมืองสามารถครอบครองอาวุธปืน และพกพาได้ โดยการขออนุญาตจากรัฐ เหล้า บุหรี่ เป็นสารเสพติด มีคนตายแต่ละปีจากสิ่งนี้จำนวนมาก แต่รัฐก็เพียงควบคุมการดื่มและสูบ ไม่ได้แบน น้ำอัดลม เครื่องดื่มชูกำลัง ดื่มมากก็เป็นอันตรายต่อสุขภาพ รัฐก็ปล่อยให้จำหน่ายได้อย่างเสรี” นายกิตติ กล่าว

         เกษตรกรชาวสวนจันทบุรี กล่าวอีกว่า งานนี้ พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม  ต้องคิดอย่างรอบครอบการจะดำเนินการนโยบายใด จะต้องไม่ทำให้คนอีกกลุ่มเดือดร้อน ถ้ามีการแบนสารกำจัดวัชพืช 2 สาร กลุ่มคนที่เดือดร้อนมากจะเป็นเกษตรกร อย่าลืมเกษตรกรต่างก็มี 1 เสียงเท่ากับพวกเอ็นจีโอ ท่านจะแน่ใจได้อย่างไร ถ้าท่านนายกฯเลือกข้างเอ็นจีโอแล้ว เขาจะเลือกท่านนายกฯหรือไม่ ท่านได้สังเกตไหมว่า วันนี้ ฝั่งที่ไม่ได้เป็นรัฐบาลเงียบสนิทมากในเรื่อง 3 สาร กลุ่มเอ็นจีโอกับพรรคภูมิใจไทย มีอะไรแอบแฝงหรือไหม