“ประพัฒน์” เตือน ทีพีพี คืนชีพในรูปแบบใหม่ “ซีพีทีพีพี” เอาเหล่าเก่ายัดกรอกในขวด หากหลงกลภาคเกษตรถึงขั้นหายนะแน่นอน โดยเฉพาะผู้เลี้ยงหมู ระบุเป็นการให้นักลงทุนเข้าถึงพันธุกรรมพืชและชิ้นส่วน ที่จะเป็นการผูกขาดด้านพันธุ์พืช รวบตั้งแต่ส่วนที่ใช้ขยายพันธุ์จนถึงผลผลิตและผลิตภัณฑ์แปรรูป ทำให้เกษตรกรไทยต้องซื้อพันธุ์พืชในราคาที่แพง ไม่สามารถเก็บพันธุ์ไว้ปลูกต่อ ชี้บทเรียนประเทศเวียดนาม หลังจากเข้าร่วมกรอบทีพีพีแล้วหสรัฐฯก็ผลักดันการนำเข้าชิ้นส่วนสุกร ปรากฏว่า Sector ภาคการเลี้ยงสุกรของเวียดนามแทบจะล่มสลาย
นายประพัฒน์ ปัญญาชาติรักษ์ ประธานสภาเกษตรกรแห่งชาติ เปิดเผยว่า ความตกลง “หุ้นส่วนทางเศรษฐกิจภาคพื้นแปซิฟิก (Trans-Pacific Partnership : TPP) ที่นายบารัค โอบามา อดีตประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกาพยายามผลักดันเรื่องนี้ ซึ่งกรอบความร่วมมือในอดีตนั้นเป็นห่วงกันมาก เพราะทราบดีว่าไทยเสียเปรียบในหลายเรื่อง อาทิ เรื่องการเกษตร ต่อมานายโดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐฯคนใหม่ยกเลิกจึงไม่ต่อเนื่อง แต่ประเทศที่เป็นสมาชิกที่เหลือพยายามผลักดันฟื้นฟูเรื่อง TPP ขึ้นมาใหม่โดยเปลี่ยนชื่อเป็น CPTPP (Comprehensive and Progressive Agreement for Trans-Pacific Partnership )กรอบความร่วมมือใกล้เคียงเดิม
บทบัญญัติบางประการที่มีแนวโน้มจะก่อให้เกิดผลกระทบเชิงลบยังคงมีไม่ใช่การตัดออกจากความตกลง เพียงแต่ยังไม่นำมาบังคับใช้ขณะนี้จึงไม่มีหลักประกันที่แน่นอนว่าจะไม่นำกลับมาบังคับใช้ใหม่ และสิ่งที่เป็นข้อกังวลใจอย่างมากของสภาเกษตรกรแห่งชาติที่วนกลับมาอีกครั้งคือเรื่อง การให้นักลงทุนเข้าถึงพันธุกรรมพืชและชิ้นส่วนซึ่งจะเป็นการผูกขาดด้านพันธุ์พืช รวบตั้งแต่ส่วนที่ใช้ขยายพันธุ์จนถึงผลผลิตและผลิตภัณฑ์แปรรูป ผลคือวิถีชีวิตของเกษตรกรจะเปลี่ยนแปลง ซื้อหาพันธุ์พืชในระดับราคาที่แพงและไม่สามารถเก็บพันธุ์ไว้ปลูกต่อ เป็นความเดือดร้อนที่มีระยะเวลายาวนานด้วยการคุ้มครองพันธุ์พืชใหม่จะมีระยะเวลา 20-25 ปี
อีกหนึ่งเรื่องที่น่ากังวลใจและมีบทเรียนจากหลายประเทศมาแล้วคือการนำเข้าชิ้นส่วนสุกร อาทิเช่น เวียดนาม หลังจากเข้าร่วมกรอบทีพีพีแล้วหสรัฐฯก็ผลักดันการนำเข้าชิ้นส่วนสุกร ปรากฏว่า Sector ภาคการเลี้ยงสุกรของเวียดนามแทบจะล่มสลายหมดเลย หากประเทศไทยไม่เป็นประเทศเกษตรกรรมเรื่องนี้จะไม่น่ากังวล แต่ภาคการเลี้ยงสุกรของประเทศไทยเข้มแข็งมาก มีเกษตรกรที่เลี้ยงสุกรและส่วนใหญ่เป็นเกษตรกรรายกลางและรายย่อยกว่า 180,000 ครัวเรือน และจะส่งผลกระทบต่อเนื่องเป็นลูกโซ่ถึงเกษตรกรผู้ผลิตพืชวัตถุดิบอาหารสัตว์และผู้ประกอบการที่เกี่ยวข้องอีกเป็นจำนวนมาก อาทิ เกษตรกรผู้ปลูกข้าวทั่วประเทศมากกว่า 3.5 ล้านครัวเรือน เกษตรกรผู้ปลูกข้าวโพดเลี้ยงสัตว์มากกว่า 250,000 ครัวเรือน ตลอดจนผู้ประกอบการแปรรูปข้าวเปลือกซึ่งจะมีผลิตภัณฑ์รำข้าว/ปลายข้าว เป็นต้น
[adrotate banner=”3″]
“หากกรอบความร่วมมือนี้มีผลสัมฤทธิ์และต้องนำเข้าชิ้นส่วนสุกรจริงต้องเกิดผลกระทบกับประเทศไทยด้านเศรษฐกิจมหาศาลแน่นอน คนเลี้ยงสุกรต้องเลิกอาชีพเพราะต้องนำเข้าสุกรจากต่างชาติทันที ความมั่นคงด้านอาหารในระยะยาวจะเสียหายไปเลย ความเป็นผู้นำในอาเซียนเรื่องการเกษตรโดยเฉพาะด้านปศุสัตว์รวมทั้งอุตสาหกรรมการค้าอาหารสัตว์จะไม่มีอีกต่อไปเพราะทั้งหมดจะล่มสลาย ผลกระทบเศรษฐกิจจะรุนแรงและยาวนาน “ นายประพัฒน์ กล่าว
ประธานสภาเกษตรกรฯ กล่าวอีกว่า ประเทศไทยยังไม่พร้อมและรับไม่ไหวแน่ ผู้ได้ประโยชน์เป็นนายทุน,เศรษฐีระดับบน การเอาเกษตรกรรายย่อยเป็นอำนาจต่อรองได้รับผลกระทบระยะยาวประเทศไทยจะเสียหายมาก ใคร่เตือนสติด้วยความเคารพถึงรัฐบาลและรัฐมนตรีที่พยายามผลักดันเรื่องนี้อยากให้ใช้ความรอบคอบในการจะเข้าไปผูกพันทางการค้าด้วยความระมัดระวังอย่างยิ่ง
“ จริงๆแล้วประเทศไทยมีกรอบสัญญาการค้าระดับทวิภาคี พหุภาคีเยอะอยู่แล้ว หลายประเทศที่อยู่ในความร่วมมือเรื่อง CPTPP มีกรอบความร่วมมือทวิภาคีกับไทยหลายประเทศ ไทยไม่มีปัญหาเรื่องการค้า อย่าตกเป็นเหยื่อเขาเลย หน้าที่ของสภาเกษตรกรแห่งชาติต้องประคับประคองไม่ให้พี่น้องประชาชนโดยเฉพาะเกษตรกรมีผลกระทบ มองเห็นชะตากรรมหากเข้าร่วม CPTPP โดยไม่ได้ระมัดระวัง เกษตรกรจะหมดอาชีพเป็นล้านคน ” เขา กล่าว
อย่างไรก็ตาม รัฐบาลได้มอบหมายกรมเจรจาการค้าระหว่างประเทศ กระทรวงพาณิชย์ จัดเวทีรับฟังความคิดเห็นจากภาคส่วนที่เกี่ยวข้องคาดว่าจะสรุปข้อมูล ข้อคิดเห็น เสนอรัฐบาลตัดสินใจการจะเข้าเป็นสมาชิกความตกลง CPTPP ก่อนสิ้นปี 2561 จึงอยากขอให้เกษตรกร ตัวแทนเกษตรกร ผู้มีส่วนได้/เสียและเกี่ยวข้องเข้าร่วมเวทีแสดงความคิดเห็นอย่าได้เพิกเฉย ซึ่งครั้งต่อไปจะจัดที่เวทีภาคใต้วันที่ 12-13 กันยายน 2561 ณ โรงแรมเซ็นทารา แกรนด์ จังหวัดสงขลา เวทีภาคกลาง วันที่ 19 กันยายน 2561 ณ โรงแรมดุสิตธานี กรุงเทพมหานคร เวทีภาคตะวันออกเฉียงเหนือ วันที่ 25-26 กันยายน 2561 ณ โรงแรมพูลแมน จังหวัดขอนแก่น เมื่อเสร็จสิ้นเวทีรับฟังความเห็นจะได้ทราบข้อมูลว่ารัฐบาลไทยจะเดินหน้าหรือว่าจะชะลอการเจรจาต่อไป