ซีพีเอฟเผยไตรมาส 2ปีนี้กำไรพุ่ง 93%จากไตรมาสแรก

  •  
  •  
  •  
  •  

“ซีพีเอฟ” รายงานผลการดำเนินงานไตรมาส 2 ปี 2561 มียอดขาย 136,353 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 8 จากงวดเดียวกันของปีก่อน ระบุเป็นผลมาจากการเพิ่มขึ้นของกิจการต่างประเทศร้อยละ 16 ขณะที่ยอดขายกิจการประเทศไทยลดลงร้อยละ 5 ขณะที่ยอดกำไรไรสุทธิจำนวน 5,894 ล้านบาท พุ่งจากไตรมาสแรกของปีเดียวถึง 93 %

           นายสุขสันต์ เจียมใจสว่างฤกษ์ ประธานคณะผู้บริหาร ธุรกิจเกษตรอุตสาหกรรม และกรรมการผู้จัดการใหญ่ (ร่วม) บริษัท เจริญโภคภัณฑ์อาหาร จำกัด (มหาชน) หรือ ซีพีเอฟ กล่าวถึงผลประกอบการซีพีเอฟ ในไตรมาส 2 ปี 2561 ว่า มียอดขายทั้ง 136,353 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 8 จากงวดเดียวกันของปีก่อน เป็นยอดขายจากกิจการต่างประเทศจำนวน 16 ประเทศ เป็นร้อยละ 68 เพิ่มขึ้นร้อยละ 16 จากกิจการในประเทศไทยร้อยละ 27 แต่ลดลงร้อยละ 5 ที่เหนือเป็นรายได้จากการส่งออกจากประเทศไทยร้อยละ 5 ของยอดขายรวม โดยมียอดขายหลักจาก 3 ประเทศหลัก คือ ประเทศไทย (ร้อยละ 32) สาธารณรัฐประชาชนจีน (ร้อยละ 26) และประเทศเวียดนาม (ร้อยละ 16) คิดเป็นประมาณร้อยละ 74 ของยอดขายรวม

            ส่วนผลกำไรจากผลประกอบการไตรมาส 2 ปี 2561 ซีพีเอฟ ได้กำไรสุทธิจำนวน 5,894 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 45 จากงวดเดียวกันของปีก่อน และเพิ่มขึ้นร้อยละ 93 จากไตรมาส 1 ที่ผ่านมา ซึ่งผลกำไรสุทธิที่ดีขึ้นส่วนใหญ่เป็นผลมาจากผลการดำเนินงานของกิจการในประเทศเวียดนามที่เข้าสู่ภาวะปกติ

          อย่างไรก็ตาม จากภาวะเนื้อสัตว์ล้นตลาดในหลายประเทศเป็นปัจจัยหลักในการกดดันผลการดำเนินงานของซีพีเอฟตั้งแต่ไตรมาส 4 ปี 2559 ที่เกิดภาวะผลผลิตสุกรล้นตลาดในประเทศเวียดนาม และเริ่มได้รับผลกระทบจากภาวะผลผลิตสุกรและไก่เนื้อล้นตลาดในประเทศไทยในช่วงกลางปี 2560 ที่ผ่านมา ซึ่งในเดือนเมษายนปีนี้ราคาเนื้อสุกรในทั้ง 2 ประเทศเริ่มปรับตัวสูงขึ้นเหนือต้นทุนการผลิต โดยเฉพาะราคาสุกรในประเทศเวียดนามได้มีการปรับมาอยู่ในภาวะปกติ อันเป็นปัจจัยหลักที่ทำให้ผลการดำเนินงานของซีพีเอฟดีขึ้นในไตรมาส 2 ปีนี้ และคาดว่าน่าจะยังคงดีต่อเนื่องถึงปี 2562 ส่วนราคาสุกรและไก่เนื้อในประเทศไทยมีการปรับตัวดีขึ้นจากไตรมาส 1 ที่ผ่านมาและน่าจะปรับตัวดีขึ้นต่อเนื่อง ซึ่งจะส่งผลให้ผลประกอบการในครึ่งหลังของปีจะดีกว่าช่วงที่ผ่านมา

            สำหรับวิกฤตค่าเงินของประเทศตุรกีนั้น ไม่น่าจะมีผลกระทบต่อผลการดำเนินงานของบริษัทในประเทศตุรกี ซึ่งคิดเป็นประมาณร้อยละ 3 ของยอดขายรวม เนื่องจากกิจการของบริษัทเน้นการผลิตและจำหน่ายในประเทศตุรกีเป็นหลัก และได้ปรับโครงสร้างทางการเงินในช่วงต้นปีที่ผ่านมา สถานการณ์ที่เกิดขึ้นนี้น่าจะส่งผลดีให้กับกิจการในประเทศตุรกีส่งออกได้เพิ่มขึ้น

            นายสุขสันต์ กล่าวอีกว่า ด้วยวิสัยทัศน์ที่มุ่งสู่การเป็นครัวของโลกอย่างยั่งยืน บริษัทให้ความสำคัญกับการผลิตสินค้าคุณภาพ ปลอดภัย สามารถตรวสอบย้อยกลับได้ และยึดมั่นในการใช้ทรัพยากรอย่างมีประสิทธิภาพ ดูแลและรับผิดชอบต่อสังคมรอบด้าน บนพื้นฐานของการกำกับดูแลกิจการที่ดี โดยจะสะท้อนให้เห็นจากการได้รับการยอมรับด้านความยั่งยืนจากองค์กรทั้งในประเทศและระดับโลกในด้านต่างๆ อันรวมถึง การได้รับคัดเลือกเป็นสมาชิกหุ้นยั่งยืนของตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ดัชนีความยั่งยืน DJSI และล่าสุดได้รับการคัดเลือกเป็นสมาชิก FTSE4Good เป็นปีที่สองติดต่อกัน

[adrotate banner=”3″]

           อย่างไรก็ตามในที่ประชุมคณะกรรมการบริษัทเมื่อวันที่ 10 สิงหาคม 2561 ได้มีมติอนุมัติการจ่ายเงินปันผลระหว่างกาลจากผลการดำเนินงานงวด 6 เดือน ในอัตราหุ้นละ 0.35 บาท โดยกำหนดให้วันที่ 29 สิงหาคม 2561 เป็นวันกำหนดรายชื่อผู้ถือหุ้นที่มีสิทธิได้รับเงินปันผล (XD วันที่ 28 สิงหาคม 2561) และกำหนดจ่ายเงินปันผลในวันที่ 7 กันยายน 2561.