ปลุกกระแสผู้บริโภคต้องตื่น..แฉแบน3สาร แต่นำเข้าสินค้าที่ใช้พาราควอตเฉพาะถั่วเหลืองปีละ 3.7 หมื่นล้าน

  •  
  •  
  •  
  •  

รศ.ดร.พรชัย เหลืองอาภาพงศ์

นักวิชาการผู้เชี่ยวชาญด้านวัชพืช และพืชอุตสาหกรรมน้ำมันรุ่นเดอะ “รศ.ดร.พรชัย เหลืองอาภาพงศ์” ปลุกกระแสผู้บริโภค ต้องตื่นรู้ ชี้สังคมต้องอยู่ด้วยหลักการวิชาการและข้อเท็จจริงทางวิทยาศาสตร์ ระบุ พาราคาควอต-ไกลโฟเซต ถูกบิดเบือนจากความจริง ทั้งที่องค์การอนามัยโลกยืนยันมีหลักฐานเพียงพอที่จะชี้บ่งว่าไม่มีฤทธิ์ก่อให้เกิดมะเร็ง และไม่มีความเสี่ยงต่อการเกิดมะเร็งในมนุษย์ แฉความจริงไทยนำเข้าสินค้าเกษตรกลุ่มสกัดน้ำมัน อาหารสัตว์ และกลุ่มแปรรูปผลิตภัณฑ์อาหาร จากบราซิล สหรัฐฯ อาร์เจนตินา และแคนาดา ปีละ 2,722,968.052 ตัน มูลค่า 37,324,843,835 บาท ที่เป็นถั่วเหลือง GMOs แบบ 100% และใช้พาราควอต และไกลโฟเซต ถามรัฐบาลนำเข้าได้โดยไม่ต้องห่วงเรื่องสุขภาพของประชาชนใช่หรือไม่ เผยจากนี้ไปไทยกำลังจะสูญเสียศักยภาพในการส่งออกสินค้าหลายชนิด ทั้งน้ำตาลทราย ข้าวโพดหวานกระป๋อง แป้งมันสำปะหลัง และมันเส้น ฝากบอกเป็นหน้าที่ของภาครัฐจะต้องพิจารณาอย่างรอบคอบ

  

         รศ.ดร.พรชัย เหลืองอาภาพงศ์ ผู้เชี่ยวชาญด้านวัชพืช และพืชอุตสาหกรรมน้ำมัน กล่าวถึงการนำเข้าสินค้าเกษตรของสหรัฐ ว่า ทุกวันนี้การนำเข้าสินค้าเกษตรของสหรัฐ และเกี่ยวเนื่องกับถั่วเหลืองนั้น ต้องรู้ความจริงว่า การเพิ่มผลผลิตถั่วเหลืองในประเทศ มีความจำเป็นสูงในการสร้างความมั่นคงด้านอาหารของไทย แต่เนื้อที่การเพาะปลูกและผลผลิตลดลง เนื่องจากต้นทุนการผลิตสูง ต้องใช้แรงงานคนในการเก็บเกี่ยว ที่สำคัญราคาถั่วเหลืองต่ำกว่าพืชชนิดอื่น โดยราคาถั่วเหลืองสกัดน้ำมัน ระหว่างวันที่ 18-24 ตุลาคม 2562 เฉลี่ยกิโลกรัมละ 18.50 บาท ขณะที่ราคาในตลาดต่างประเทศ ถั่วเหลือง เฉลี่ยกิโลกรัมละ 10.45 บาท

        ดังนั้น การนำเข้าจากต่างประเทศจึงเป็นทางออกสำหรับการนำใช้ในอุตสาหกรรมต่าง ๆ ของไทย อาทิ กลุ่มสกัดน้ำมัน กลุ่มอาหารสัตว์ และกลุ่มแปรรูปผลิตภัณฑ์อาหาร โดยประเทศหลักที่นำเข้า ได้แก่ ประเทศบราซิล สหรัฐอเมริกา อาร์เจนตินา และแคนาดา โดยในปีที่ผ่านมา นำเข้าประมาณ 2.7 ล้านตัน (2,722,968.052 ตัน) คิดเป็นมูลค่า 37 พันล้านบาท (37,324,843,835 บาท)

            การนำเข้าถั่วเหลืองจากต่างประเทศ เป็นไปตามกฎกติกาของการค้าเสรี (Free Trade) ขององค์กรการค้าโลก (WTO) ตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม พ.ศ. 2538 ตามนโยบายการนำเข้าถั่วเหลืองของกระทรวงพาณิชย์ ปัจจุบัน ไม่คิดอัตราภาษีนำเข้า และไม่จำกัดปริมาณ โดยถั่วเหลืองที่นำเข้าจากสหรัฐอเมริกาและอาร์เจนตินา เป็นถั่วเหลือง GMOs แบบ 100% นำมาแปรรูปเป็นเต้าหู้ นมถั่วเหลือง น้ำมันถั่วเหลือง ซีอิ้ว เต้าเจียว และกากถั่วเหลืองนำไปใช้เป็นอาหารสัตว์ เลี้ยงไก่ เลี้ยงหมู เป็นต้น

         ถั่วเหลืองที่นำเข้าเป็นการดัดแปลงพันธุกรรมให้มีความสามารถในการต้านทานสารกำจัดวัชพืช ไกลโฟเซต เนื่องจากในการกำจัดวัชพืชของถั่วเหลืองนั้น จำเป็นต้องใช้ไกลโฟเซต วัชพืชขึ้นแก่งแย่งแข่งขัน รุนแรง และ ยากต่อการกำจัดด้วยวิธีถอนหรือใช้เครื่องจักร หรือใช้สารกำจัดวัชพืชชนิดอื่น แต่ด้วยคุณสมบัติของไกลโฟเซตที่พืชทั่วไป ประเภทไม่เลือกทำลาย ดังนั้นเมื่อพืชปลูกดูดซึมไปแล้วจะถูกยับยั้งการเจริญเติบโต  จึงได้มีการดัดแปลงพันธุกรรมในถั่วเหลืองให้ต้านทานไกลโฟเซต ทำให้ถั่วเหลืองนั้น สามารถเติบโตต่อไปได้แม้ได้รับสารไกลโฟเซตไปแล้วก็ตาม ปัจจุบันเริ่มมีปัญหาวัชพืชต้านทานไกลโฟเซต จึงต้องมีการใช้สารพาราควอต เพื่อปราบวัชพืชดื้อยา และมีการใช้พาราควอต ทำให้ใบถั่วเหลืองร่วงจึงจะเก็บเกี่ยวได้ ที่เลือกใช้พาราควอตช่วงเก็บเกี่ยวเพราะไม่ใช้สารดูดซึม ที่จะสะสมเข้าไปในเมล็ดถั่วเหลือง

         สำหรับประเทศไทย กำลังจะยกเลิกสารไกลโฟเซต และพาราควอต ไม่ให้เกษตรกรในประเทศใช้ ด้วยวาทะกรรมของกลุ่มคนที่มีความเป็นห่วงสุขภาพประชาชนคนไทย แต่ ประเทศไทยก็ยังอนุญาตให้นำเข้าถั่วเหลือง และสินค้าที่มีการใช้สารทั้งสองดังกล่าว แบบนี้ก็เท่ากับว่าสินค้าที่นำเข้าจากหลายๆ ประเทศที่ยังมีการใช้ไกลโฟเซต และพาราควอต ก็นำเข้าได้โดยไม่ต้องห่วงเรื่องสุขภาพของประชาชนใช่หรือไม่  นี่คือสิ่งที่เราควรหันกลับมาอยู่ในความจริงที่ต้องหาทางออกที่ดีกว่าการแบน และห้ามเกษตรกรในประเทศใช้

         สาระสำคัญของเรื่องไม่ใช่สหรัฐฯจะมีมาตรการอย่างไร แต่ประเด็นสำคัญคือไทยกำลังจะสูญเสียศักยภาพในการส่งออกสินค้าหลายชนิด ไม่ว่าจะเป็น น้ำตาลทราย ข้าวโพดหวานกระป๋อง แป้งมันสำปะหลัง และมันเส้น จึงเป็นหน้าที่ของภาครัฐจะต้องพิจารณาอย่างรอบคอบ ทั้งในแง่ผลกระทบที่ไม่ให้เกษตรกรใช้ ผลกระทบอุตสาหกรรมต่อเนื่อง การผลิตเพื่อรองรับการบริโภคภายในประเทศ รวมทั้ง ข้อเท็จจริงด้านความปลอดภัยของสารกำจัดวัชพืช ไกลโฟเซต และพาราควอต ในระดับสากล แม้ประเทศไทยจะแบนไป แต่อุตสาหกรรมเกษตรระดับโลกในหลายประเทศยังคงใช้สารดังกล่าวอยู่ในการเพาะปลูก และยังนำเข้าสินค้าเหล่านั้น จึงเป็นความท้าทายของภาครัฐ ถ้าห่วงสุขภาพประชาชนจริง ก็ควรแบนสินค้าเกษตรทุกชนิด และแบนสินค้าจากต่างประเทศที่ใช้สารเคมีทั้ง 3 ชนิด เพื่อดูแลสุขภาพของผู้บริโภคอย่างแท้จริง มิเช่นนั้น การแบน 3 สารเคมีในประเทศ จะกลายเป็นเพียง ละครน้ำเน่าที่ทำร้ายทั้งคนดูและผู้สร้าง ได้แต่เพียงความบันเทิง สนุกปากและวาทกรรม สุดท้ายผู้บริโภคก็ไม่ได้มีสุขภาพดีขึ้น แถมเกษตรกรต้องทุกข์ยาก คนไทยขาดทุน ต่างชาติรับทรัพย์มีกำไร

       “ผู้บริโภคต้องตื่นรู้  และสังคมต้องอยู่ด้วยหลักการวิชาการและข้อ(เท็จ)จริงทางวิทยาศาสตร์  ที่ผ่านมามีหลายข้อมูลที่บิดเบือนจากความจริง โดยเฉพาะพาราควอต องค์การอนามัยโลกกล่าวว่า มีหลักฐานเพียงพอที่จะชี้บ่งว่าพาราควอตไม่มีฤทธิ์ก่อให้เกิดมะเร็ง และไม่มีความเสี่ยงต่อการเกิดมะเร็งในมนุษย์ (WHO/JMPR, 2004) ล่าสุดต้นเดือนตุลาคมนี้หน่วยงานอเมริกาก็เพิ่งสรุปผลการตรวจสอบเอกสารหลายร้อยชิ้นพบว่าพาราควอตไม่ได้เป็นสาเหตุของโรคพาร์กินสัน (US EPA, 2019) ซึ่งมติคณะกรรมการวัตถุอันตรายก่อนหน้านี้ 2 ครั้ง จากการประชุมทั้งหมด 13 ครั้งก็มีสรุปในมติชัดเจนว่า ข้อมูลจากฝั่งเสนอแบนไม่สามารถเชื่อมโยงได้ชัดเจนว่าพาราควอตทำให้เกิดมะเร็ง ถ่ายทอดจากแม่สู่ลูก ทำให้เกิดโรคเนื้อเน่า และได้มีการประเมินความเสี่ยงต่อประชากร และผู้บริโภคไปแล้วว่าไม่อยู่ในระดับที่เป็นอันตราย ข้อเท็จจริงเหล่านี้ผู้บริโภค ประชาชนต้องเปิดใจรับฟังและรับรู้ถึงผลกระทบที่จะเกิดขึ้นต่อเกษตรกร และประเทศชาติโดยรวม อย่าลืมว่าสารเคมีอยู่รอบตัวท่านทุก ๆ วัน การดื่มน้ำมาก ๆ การกินยาเกินขนาดก็เป็นอันตรายเหมือนกัน” รศ.ดร.พรชัย กล่าว