“เมื่อเซเว่นฯให้โอกาส เราก็ต้องพัฒนาตัวเอง ต้องยกระดับและพัฒนาสินค้าด้วย เดิมมีโรงงานผลิตที่ย่านบางพลัด กทม. มีเพียงมาตรฐาน อย. ก็ทำมาตรฐานให้สูงขึ้นจนได้มาตรฐานGMP และHACCP ต่อมาเพิ่มไลน์สินค้าจนทุกวันนี้มีทั้งหมด22 รายการ”
จังหวะและโอกาสผสมผสานกับความพยายามและยอมรับปรับเพื่อพัฒนา ทำให้สาวใหญ่เจ้าของผลิตภัณฑ์อาหารคบเคี้ยว ประเภทสแน็ค ภายใต้แบรนด์ “แน็คเก็ต” วัย 44 ปี “พัทธนันท์ แสงสุขเกษมศักดิ์” ผู้ประกอบการวัย 44 ปี กรรมการผู้จัดการบริษัท ทันน่า ฟู๊ดส์ จำกัด ย่านซอยบรมราชชนนี 2 แขวงบางบำหรุ เขตบางพลัด กรุงเทพฯสามารถนำพสกิจการให้ประสบผสสำเร็จได้อย่างงดงาม จากเดิมที่ส่งส่งขายสินค้าให้ยี่ปั๊วมียอดขายหลักหมื่นหลักแสนต้นๆ หลังจากที่ได้ส่งให้ร้านสะเดวกซื้อ “เซเว่น อีเลิฟเว่น” ยอดขายพุ่งกระฉูด ล่าสุดงปีที่ผ่านมายอดขายแตะกว่า 40 ล้านบาท และได้เพิ่มผลิตภัณฑ์มากขึ้นถึง 22 รายการ
น.ส.พัทธนันท์ เล่าที่มาที่ไปของธูรกิจนมขบเคี้ยวว่า จบปริญญาตรี คณะพาณิชย์ศาสตร์ฯ สาขาการตลาด มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ และจบ MBA ที่เดียวกัน พอเรียนจบก็ทำงานด้านจัดซื้อ และด้านการตลาดในบริษัทเอกชน สาเหตุที่มาทำชีสเชคไส้สับปะรดเพราะครอบครัวอยู่ อ.ปราณบุรี จ.ประจวบคีรีขันธ์ ซึ่งมีขนมปังไส้สับปะรดอร่อยมาก สมัยเรียนและตอนทำงานต้องซื้อมาฝากเพื่อนๆ เพราะจะหาเจ้าอร่อยๆที่มีเนื้อสับปะรดเยอะๆยากมาก ต้องไปซื้อที่ปราณบุรีเท่านั้น จึงมองว่าขนมชนิดนี้น่าจะมีช่องทางการตลาด
ในปี 2547 จึงนำสับปะรดจากปราณบุรีมาทำเอง ภายใต้เครื่องหมายการค้า หรือแบรนด์ “แน็คเก็ต” เสนอขายตามยี่ปั้ว ร้านกาแฟ และในตลาดชุมชน พอธุรกิจเริ่มไปได้ จึงคิดขยายตลาด โดยมองไปที่ร้านเซเว่นฯที่มีสาขาอยู่ทั่วประเทศจำนวนมาก และนำสินค้าไปเสนอในปี2549 แต่กว่าจะได้ขายของจริงก็ปี 2550 เพราะทางเซเว่นฯต้องเข้ามาสำรวจสถานที่ผลิตว่าได้มาตรฐานและมีกำลังผลิตเพียงพอหรือไม่ โดยทางบริษัทกับทางเซเว่นฯใช้เวลาพัฒนาสินค้าร่วมกัน1 ปี
“เมื่อเซเว่นฯให้โอกาส เราก็ต้องพัฒนาตัวเอง ต้องยกระดับและพัฒนาสินค้าด้วย เดิมมีโรงงานผลิตที่ย่านบางพลัด กทม. มีเพียงมาตรฐาน อย. ก็ทำมาตรฐานให้สูงขึ้นจนได้มาตรฐานGMP และHACCP ต่อมาเพิ่มไลน์สินค้าจนทุกวันนี้มีทั้งหมด 22 รายการ เป็นการนำผลผลิตทางการเกษตรในชุมชนมาแปรรูป ช่วยทำให้ชาวบ้านและกลุ่มวิสาหกิจชุมชนที่เป็นเครือข่ายจาก 5 จังหวัด มีงานทำและมีรายได้เป็นกอบเป็นกำ เป็นห่วงโซ่กัน” น.ส.พัทธนันท์ กล่าว
เธอ เล่าอีกว่า ตอนนี้มีสินค้าทั้งหมด 5 กลุ่ม กลุ่มแรกเป็นแครกเกอร์ไส้สับปะรดไส้สตอเบอร์รี่ กลุ่มที่2 ปั้นสิบไส้ต่างๆ ไส้ปลา ไส้ถั่ว ไส้ต้มยำกุ้ง โดยผสมข้าวสังข์หยดของจ.พัทลุง กลุ่มที่ 3 กลุ่มทอดสูญญากาศ กล้วยทอดสูญญากาศ เป็นกล้วยหอมทอดจากจ.ชุมพร กลุ่มที่ 4 ผัก ผลไม้ทอด อย่างกล้วย เผือก มัน ฟักทอง จากจ.สุโขทัย และกลุ่มที่5 อาหารทะเลจากจ.ตราด ส่วนสินค้าที่ขายดีอันดับหนึ่ง กลุ่มกล้วย มัน เผือก ฟักทองทอด รองลงมากลุ่มอาหารทะเล ปูกรอบ กุ้งกรอบผสมสมุนไพรอันดับ3เป็นกลุ่มกล้วยหอมทองกรอบ
เจ้าของบริษัท ทันน่า ฟู๊ดส์ฯ แจงด้วยว่า จุดเด่นของผลิตภัณฑ์1. อร่อย 2.ได้คุณภาพ 3.เป็นผลิตภัณฑ์ในชุมชน โดยบริษัทซื้อสินค้าจากชุมชนปีละหลายร้อยตัน อย่างกลุ่มผักผลไม้ทอดกรอบ รับซื้อ100 ตัน กลุ่มอาหารทะเล 30 ตัน ส่วนปั้นสิบกับกล้วยหอมทอด 20-30 ตัน สับปะรด 70-100 ตัน ซึ่งก่อนหน้านี้ขายส่งตลาดยี่ปั๊วยอดขายหลักหมื่นหลักแสนต้นๆ แต่พอมาขายกับทางเซเว่นฯ แตกต่างกันเยอะมาก อย่างปีที่ผ่านมายอดขาย 41ล้านบาท ตรงนี้ก็ได้ช่วยชาวบ้านด้วย แต่สิ่งสำคัญคือต้องไม่หยุดนิ่ง เซเว่นฯเป็นช่องทางที่ยั่งยืน ถ้าพัฒนาตัวเอง เซเว่นฯให้โอกาสกับเอสเอ็มอีที่พัฒนาตัวเอง”
“ช่วงโควิด-19เซเว่นฯไม่มีคืนของเลย ถ้าไม่ได้เซเว่นก็แย่เหมือนกัน ตั้งแต่ค้าขายกับเซเว่นฯชีวิตเราดีขึ้นทุกอย่าง เราโตมากับเซเว่นจริงๆ อันนี้คือรูปธรรม ส่วนนามธรรมค้าขายแล้วสบายใจเพราะเขาไม่เอาเปรียบ เขาช่วยเหลือ และสนับสนุน เขามองเราเป็นส่วนหนึ่ง แม้จะเป็นองค์กรเล็กๆเขาเห็นใจและไม่ทิ้งเรา”เธอ กล่าวและเล่าต่อว่า การค้าขายกับเซเว่นฯ มา15 ปี จ่ายเงินตรงเวลาตลอด ซึ่งช่วยได้เยอะมากเพราะบริษัทต้องนำเงินสดไปซื้อของกับชุมชน และวิสาหกิจชุมชน
น.ส.พัทธนันท์ บอกการพัฒนาสินค้าในใหม่ในปี 2564 ด้วยว่า จะนำสินค้าที่ขายอยู่แล้วนำมาพัฒนา อย่างตัวขนมปังชีสไส้สับปะรด ไส้สตอเบอร์รี่ และขนมปั้นสิบ เนื่องจากแพ็กเกจเก่าล้าสมัย จะปรับแพ็กเกจใหม่ ปรับสูตรพัฒนาให้อร่อยขึ้น นั่งเอง จึงแนะนำสำหรับผู้ประกอบการที่อยากมาขายในร้านเซเว่นฯว่า ต้องดูก่อนว่าสินค้ามีความพร้อมในการขายไหม มาตรฐานได้ไหม ต้องคุยกันให้เคลียร์ ต้องขอคำแนะนำและหลักเกณฑ์ในการทำงาน เพราะทางเซเว่นฯทำงานเป็นขั้นตอน ถ้าสินค้าเราพร้อมมีมาตรฐาน เซเว่นฯเปิดโอกาสและสนับสนุนผู้ประกอบการอยู่แล้ว
นับเป็นผู้ประกอบการอีกรายที่ไม่หยุดนิ่งในการพัฒนาสินค้า เพื่อเพิ่มยอดขายและให้ผู้บริโภคมีทางเลือกมากขึ้น