บังดล คนเดิม
ตอนนี้ฝนเริ่มตกไปทั่วทุกภาคกันแล้วครับ ช่วงที่เข้าฤดูฝน สิ่งชาวบ้านไม่ควรประมาทเป็นอย่างยิ่ง โดยเฉพาะเกษตรกรที่ทำมาหากินอยู่กับป่า อยู่กับหญ้า หรือพืชที่รกๆ อย่างชาวไร่ ชาวนา ชาวนสวน เพราะเป็นช่วงที่สัตว์เลื้อยคล้านมีพิษมันก็จะออกมา โดยเฉพาะงู ตะขาบ แมงป่อง
อย่าทำเล่นนะครับ ข้อมูลของกระทรวงสาธารณสุข ระบุว่าในแต่ละปีมีรายงานเฉพาะผู้ป่วยถูกงูพิษกัดปีละเป็นหมื่นรายครับ อันนี้ไม่รวมถึงสัตว์มีพิษอย่างอื่นที่โดนกัด ที่ไม่อันตรายถึงชีวิต ล่าสุดเมื่อวันที่ 26 พฤษภาคม 2562 ทางกระทรวงสาธารณสุข ออกมาประกาศเตือนประชาชนแล้วครับ ว่า ช่วงฤดูฝนระวังงูกัด จึงขอให้ประชาชนหลีกเลี่ยงบริเวณที่รก มีหญ้าสูง โดยเฉพาะตอนกลางคืน
ที่สำคัญอีกอย่างหนึ่งครับ คือความเชื่อแบบบ้าน คือเวลาถูกงูกัด จะมีการกรีดแผล หรือดูดพิษ และมักพอกยาเอง ตรงนี้ทางกระทรวงสาธารณสุข ออกมาเตือนเช่นกันครับว่า หากถูกงูกัดห้ามกรีดแผล ดูดพิษจากแผล หรือพอกยา เพราะอาจทำให้แผลติดเชื้อ สิ่งที่ควรทำหากโดนงูกัดให้รีบไปพบแพทย์ที่โรงพยาบาลที่ใกล้ที่สุดครับ
เรื่องนี้ นพ.ไพศาล ดั่นคุ้ม รองปลัดกระทรวงสาธารณสุข ในฐานะโฆษกกระทรวงสาธารณสุข ออกมาเตือนว่า า ช่วงฤดูฝน ประชาชนอาจถูกสัตว์มีพิษกัดต่อยได้ เช่น ตะขาบ แมงป่อง โดยเฉพาะงู ซึ่งในแต่ละปีมีรายงานผู้ป่วยถูกงูพิษกัดประมาณ 7,000 – 10,000 ราย จึงได้ให้สำนักงานสาธารณสุขจังหวัด เตือนประชาชนและให้ความรู้ในการป้องกันตนเองจากอันตรายของสัตว์มีพิษ รวมทั้งให้โรงพยาบาลในสังกัด เตรียมสำรองเซรุ่มแก้พิษงูที่พบบ่อยในแต่ละภูมิภาค 7 ชนิดได้แก่ งูเห่า งูจงอาง งูสามเหลี่ยม งูทับสมิงคลา งูแมวเซา งูกะปะ และงูเขียวหางไหม้
ทั้งนี้เพื่อให้การช่วยเหลือประชาชนอย่างทันท่วงที ลดการเสียชีวิต และขอแนะนำประชาชนให้หลีกเลี่ยงการเดินในบริเวณที่รก มีหญ้าสูง หรือเข้าป่าในเวลากลางคืน โดยเฉพาะตอนพลบค่ำ และเวลาที่ฝนตกปรอย ๆ ที่ชื้นแฉะ ซึ่งเป็นช่วงที่งูออกหากินต้องระวังเป็นพิเศษ หากจำเป็นต้องออกจากบ้านตอนกลางคืน หรือเข้าไปในป่าหรือทุ่งหญ้า ควรมีไฟฉายส่องทาง และใช้ไม้แกว่งไปมาให้มีเสียงดัง เพื่อให้งูหนีไปที่อื่น
หมอไพศาล ยังบอกว่า ยังมีประชาชนจำนวนไม่น้อยที่เข้าใจผิดว่า หากถูกงูกัดให้กรีดแผล ใช้ไฟจี้แผล ใช้ปากดูดพิษงูออกจากแผล หรือพอกยา พอกสมุนไพรในแผลที่ถูกงูกัด ซึ่งไม่มีประโยชน์ในการลดพิษและอาจทำให้ติดเชื้อได้ รวมทั้งไม่ควรทำการขันชะเนาะ เพราะเพิ่มความเสี่ยงเกิดเนื้อเน่าตาย รวมทั้งหากเป็นงูที่มีพิษต่อระบบประสาทมีรายงานว่าผู้ป่วยอาจอาการแย่ลง จนเกิดภาวะหายใจวายทันที หลังคลายการขันชะเนาะได้
ภาพ:องค์การพิพิธภัณฑ์วิทยาศาสตร์แห่งชาติ
วิธีที่ถูกต้องคือ ขอให้ตั้งสติและสังเกตลักษณะของงู รีบพาผู้ป่วยไปโรงพยาบาลโดยเร็วที่สุด หรือโทรแจ้ง 1669 ในระหว่างนั้นให้ล้างบริเวณที่ถูกงูกัดด้วยน้ำสะอาด เคลื่อนไหวบริเวณที่ถูกงูกัดให้น้อยที่สุด ยกให้อยู่ในระดับต่ำกว่าหัวใจ อาจดามด้วยแผ่นไม้หรือวัสดุแข็งแล้วใช้ผ้าพันแผลยางยืดรัดให้แน่น เพื่อประคองให้ส่วนที่ถูกกัดอยู่นิ่งที่สุด ไม่จำเป็นต้องรอจับงูที่กัดมาด้วย เพราะจะเสียเวลาในการรักษาโดยเปล่าประโยชน์
สำหรับงูพิษ ให้สังเกตุมีเขี้ยวยาว 2 เขี้ยวอยู่ด้านหน้าขากรรไกรบน ลักษณะเป็นท่อปลายแหลมเหมือนเข็มฉีดยา มีท่อต่อมน้ำพิษที่โคนเขี้ยว เมื่องูกัดพิษจะไหลเข้าสู่ร่างกายทางรอยเขี้ยว และมีอาการบวมแดงรอบ ๆ รอยกัด บางครั้งอาจเห็นเพียงรอยเดียว โดยเฉพาะถ้าถูกกัดบริเวณปลายมือปลายเท้า หรือบางครั้งอาจเห็นมากกว่า 2 รอยในกรณีที่ถูกกัดมากกว่า 1 ครั้ง
หลังจากงูกัดแล้ว อาจมีอาการปวดอย่างรุนแรง คลื่นไส้อาเจียน หายใจติดขัด หากรุนแรงอาจหยุดหายใจ สายตาขุ่นมัว มีน้ำลายมากผิดปกติ และหน้าชาไม่รู้สึกหรือชาตามแขนขา โดยพิษนั้นขึ้นอยู่กับชนิดของงู เช่นงูเห่า งูจงอาง งูสามเหลี่ยม งูทับสมิงคลา จะมีพิษต่อระบบประสาท ทำให้กล้ามเนื้ออ่อนแรงหนังตาตก กลืนลำบาก พูดไม่ชัด และหยุดหายใจได้
ฉะนั้นต้องระวังด้วยครับ!