4 หน่วยงานจับมือ ดึงเซ็นเซอร์ “ความเร็วลม” เล็งนำร่องประกันภัยทุเรียนเป็นครั้งแรกในประเทศไทย

  •  
  •  
  •  
  •  

สำนักงานเศรษฐกิจการเกษตร สนองทันทีนโยบายยกระดับประกันภัยภาคเกษตรของ “ผู้กองธรรมนัส” จับมือ 3 พันธมิตร “สำนักงาน คปภ.-สวทช.-GISTDA ” ดึงเซ็นเซอร์ความเร็วลม เล็งนำร่องประกันภัยทุเรียน เป็นครั้งแรกในประเทศไทยลดความเสี่ยง สร้างความมั่นใจให้เกษตรกร

วันที่14 กันยายน 2566 สำนักงานเศรษฐกิจการเกษตร (สศก.) ร่วมกับ สำนักงานคณะกรรมการกำกับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัย (สำนักงาน คปภ.) สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) โดยศูนย์เทคโนโลยีอิเล็กทรอนิกส์และคอมพิวเตอร์แห่งชาติ และสำนักงานพัฒนาเทคโนโลยีอวกาศและภูมิสารสนเทศ (องค์การมหาชน) หรือ GISTDA ร่วมลงนามใน บันทึกความเข้าใจ (MOU) ว่าด้วยความร่วมมือในการประยุกต์ใช้เทคโนโลยีเพื่อพัฒนาระบบประกันภัยภาคการเกษตร ณ ห้องประชุม 3 อาคารนวัตกรรม สำนักงานเศรษฐกิจการเกษตร

นายฉันทานนท์ วรรณเขจร เลขาธิการสำนักงานเศรษฐกิจการเกษตร กล่าวว่า ตามที่ร้อยเอก ธรรมนัส พรหมเผ่า รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ได้เน้นนโยบายสำคัญในด้านการพัฒนาระบบประกันภัยภาคเกษตร ซึ่ง สศก. ในฐานะหน่วยงานเนวิเกเตอร์ (Navigator) หรือผู้นำทางด้านเศรษฐกิจการเกษตร ตระหนักถึงความสำคัญของการให้ความคุ้มครองที่ครอบคลุมแก่เกษตรกรชาวสวนทุเรียนจากภัยอันเกิดจากลมพายุหรือวาตภัยที่มากับพายุฤดูร้อน ในช่วงระหว่างเดือนกุมภาพันธ์ – มิถุนายน ของทุกปี ที่เป็นช่วงออกผลคาบเกี่ยวกับช่วงเก็บเกี่ยวผลผลิตทุเรียนของภาคตะวันออก เนื่องจากเป็นความเสี่ยงที่ก่อให้เกิดผลกระทบต่อรายได้มากที่สุด

อีกทั้ง ยังเป็นภัยธรรมชาติที่ป้องกันและควบคุมความเสียหายได้ยาก ทุเรียนเป็นราชาไม้ผลเศรษฐกิจมูลค่าสูง สร้างรายได้จากการส่งออกแก่ประเทศอย่างมหาศาล โดยในปี 2566 (มกราคม – กรกฎาคม) ประเทศไทยส่งออกทุเรียนสด คิดเป็นมูลค่ากว่า 117,400 ล้านบาท ซึ่งเพิ่มขึ้นถึง 5 เท่า ในช่วงระยะเวลา 5 ปีที่ผ่านมา  และถือครองส่วนแบ่งตลาดโลกถึงกว่าร้อยละ 80

ส่วนการประสานความร่วมมือระหว่าง 4 หน่วยงานในครั้งนี้ นับเป็นก้าวสำคัญที่ทุกฝ่ายจะได้ร่วมกันพัฒนาระบบประกันภัยภาคการเกษตรให้ครอบคลุมความเสี่ยงในมิติใหม่ ๆ ก้าวหน้าด้วยการประยุกต์ใช้เทคโนโลยีสมัยใหม่ แม่นยำจากการใช้วิทยาศาสตร์และการมีระบบสารสนเทศด้านการเกษตรที่สมบูรณ์ รองรับและตอบโจทย์ความต้องการของเกษตรกร อันจะเป็นกลไกสำคัญที่ช่วยเสริมการให้ความคุ้มครองและดูแลเกษตรกรไทยร่วมกัน ซึ่งแน่นอนว่าหลังจากนี้ สศก. จะเร่งผลักดันให้เป็นรูปธรรม และพร้อมขยายผลไปยังสินค้าเกษตรชนิดอื่นๆ ต่อไป

ด้าน ดร.สุทธิพล ทวีชัยการ เลขาธิการคณะกรรมการกำกับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัย กล่าวว่า สำนักงาน คปภ.ได้สนับสนุนภาคธุรกิจประกันภัย พัฒนาผลิตภัณฑ์เพื่อให้ครอบคลุมพืชเศรษฐกิจที่สำคัญของประเทศ ในการพัฒนาผลิตภัณฑ์ประกันภัยที่สำคัญและจำเป็น อาทิ การประกันภัยข้าวนาปี การประกันภัยข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ และได้ต่อยอดไปยังพืชผลชนิดอื่น ๆ ให้กับเกษตรกร จึงร่วมกับธุรกิจประกันภัยในการพัฒนาผลิตภัณฑ์ใหม่ ๆ ตามภูมิภาคหรือพื้นที่เฉพาะ เช่น การประกันภัยทุเรียนภูเขาไฟศรีสะเกษ การประกันภัยสวนยางพารา และการประกันภัยโคนม โคเนื้อ เป็นต้น

ดังนั้น การจัดทำบันทึกความเข้าใจว่าด้วยความร่วมมือในการประยุกต์ใช้เทคโนโลยี เพื่อพัฒนาระบบประกันภัยภาคการเกษตร โดยการนำประกันภัยทุเรียน ซึ่งเป็นพืชเศรษฐกิจของประเทศมาพัฒนาการสำรวจภัยของผลิตภัณฑ์ภาคการเกษตร เป็นการนำร่องในการใช้เทคโนโลยีสมัยใหม่มาเป็นเครื่องมือ ไม่ว่าจะเป็นอุปกรณ์ IoT และระบบภูมิสารสนเทศ GIS เทคโนโลยีที่สามารถวัดความเร็วลม โดยจะมีการนำ “ความเร็วลม” มาประเมินความเสียหายและจ่ายค่าสินไหมทดแทนให้กับเกษตรกร ซึ่งนับเป็นครั้งแรกของประเทศไทย

ส่วน ดร.ชัย วุฒิวิวัฒน์ชัย ผู้อำนวยการศูนย์เทคโนโลยีอิเล็กทรอนิกส์และคอมพิวเตอร์แห่งชาติ ปฏิบัติการแทนผู้อำนวยการสำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ กล่าวว่า ในความร่วมมือครั้งนี้ เนคเทค สวทช. ในฐานะหน่วยงานวิจัยพัฒนาที่มีภารกิจสำคัญในการทำหน้าที่เชิงออกแบบและวิศวกรรม เสมือนเป็น “เครื่องจักรสำคัญเพื่อสร้างฐานรากทางเทคโนโลยีขั้นสูงให้กับประเทศ” จะนำผลงานวิจัยนวัตกรรมเพื่อการเกษตรยุคใหม่ที่มีชื่อว่า “WiMaRC: ไวมาก” ซึ่งเป็นระบบตรวจวัดด้วยเซนเซอร์แบบเครือข่ายไร้สาย เพื่อการจัดการและควบคุมอัตโนมัติ ทํางานภายใต้ Platform IoT และแสดงผลแบบเรียลไทม์ผ่านเว็บแอปพลิเคชัน ใช้ในการติดตามสภาพแวดล้อมที่ส่งผลต่อการทำการเกษตรในพื้นที่เพาะปลูกแบบทันที

ฉะนั้นเกษตรกรสามารถเข้าถึงข้อมูลได้อย่างสะดวกผ่านโทรศัพท์มือถือ โดยในระยะแรกจะเริ่มจากความเร็วลม ทิศทางลม ความเข้มแสง ความชื้นอากาศ เป็นหลัก และในระยะถัดไป จะเพิ่มเติมการใช้เซนเซอร์ความชื้นดินร่วมกับการตรวจวัดปริมาณน้ำฝน และเทคโนโลยี AI เข้ามาช่วยในการวิเคราะห์ คาดการณ์ เพื่อแจ้งเตือนเกษตรกรได้อย่างทันท่วงที

ขณะที่ ดร.ปกรณ์ อาภาพันธุ์ ผู้อำนวยการสำนักงานพัฒนาเทคโนโลยีอวกาศและภูมิสารสนเทศ กล่าวว่า ตลอดระยะเวลากว่า 20 ปีที่ผ่านมา GISTDA มุ่งมั่นในการพัฒนาและประยุกต์ใช้เทคโนโลยีอวกาศและภูมิสารสนเทศเพื่อวางแผนและบริหารจัดการเชิงพื้นที่ ทั้งในสถานการณ์ปกติและเมื่อเกิดภัยพิบัติ ที่เป็นวาระสำคัญของประเทศ เช่น ภัยพิบัติน้ำท่วม    น้ำแล้ง ไฟป่าหมอกควัน โดยเฉพาะการติดตามการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศจากดาวเทียม ร่วมกับเทคโนโลยีสำรวจระยะไกลอื่น ๆ เช่น สถานีตรวจวัดอากาศทางการเกษตร เพื่อวิเคราะห์ข้อมูลสภาพอากาศที่มีผลต่อการเพาะปลูกพืช

ทั้งนี้เพื่อให้เกษตรกรไทยนำข้อมูลที่ทันสมัย และเป็นปัจจุบันไปใช้วางแผนการเพาะปลูกตามฤดูกาล และป้องกันผลกระทบจากปัญหาภัยพิบัติทางธรรมชาติในพื้นที่เกษตรกรรม รวมถึงการช่วยเหลือเยียวยาเกษตรกรที่ได้รับผลกระทบจากภัยพิบัติทางธรรมชาติได้อย่างทันท่วงที นอกจากนี้ GISTDA ยังให้บริการข้อมูลต่าง ๆ เหล่านี้กับหน่วยงานภาครัฐและเอกชน ภาคการศึกษาและประชนชนทั่วไป ให้สามารถเข้าถึงข้อมูลและสามารถนำไปประยุกต์ใช้ตามภารกิจให้เกิดประโยชน์สูงสุดต่อไป