กระทรวงเกษตรฯ จับมือ ปตท.หนุนปลูกกาแฟ “ตลาดนำ นวัตกรรมเสริม เพิ่มรายได้”

  •  
  •  
  •  
  •  

กระทรวงเกษตรฯ จับมือ บริษัท ปตท. น้ำมันและการค้าปลีก ลงนาม MOU ส่งเสริมการปลูกกาแฟภายใต้นโยบาย “ตลาดนำ นวัตกรรมเสริม เพิ่มรายได้” หวังขยายพื้นที่การปลูกกาแฟให้เกษตรกรมีรายได้เพิ่มขึ้นจากการปลูกกาแฟอย่างยั่งยืน แถมสามารถช่วยลดปัญหาการตัดไม้ทำลายป่า และลดปัญหาสิ่งแวดล้อมด้วย 

นายประยูร อินสกุล ปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เปิดเผยภายหลังร่วมลงนามบันทึกความเข้าใจ (MOU) เรื่อง การส่งเสริมการปลูกกาแฟ ภายใต้นโยบายตลาดนำการผลิต ระหว่างกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กับบริษัท ปตท. น้ำมันและการค้าปลีก จำกัด (มหาชน) โดยมี นายดิษทัต ปันยารชุน ประธานเจ้าหน้าที่บริหารบริษัท ปตท. น้ำมันและการค้าปลีก จำกัด (มหาชน) (OR) ร่วมลงนามพร้อมด้วย นายอภัย สุทธิสังข์ รองปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ และนายสุชาติ ระมาศ ผู้อำนวยการใหญ่ บริษัท ปตท. น้ำมันและการค้าปลีก จำกัด (มหาชน) ร่วมเป็นสักขีพยาน ณ ห้องประชุม 115 กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ว่า “การลงนาม MOU ในวันนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อส่งเสริม สนับสนุน และขยายพื้นที่การปลูกกาแฟให้เกษตรกรมีรายได้เพิ่มขึ้นจากการปลูกกาแฟอย่างยั่งยืน โดยมีการสนับสนุน การศึกษา และพัฒนาประสิทธิภาพการผลิตกาแฟให้มีปริมาณผลผลิตและมีคุณภาพตามมาตรฐานสากล รวมทั้งให้เกษตรกรได้ปรับเปลี่ยนการปลูกพืชจากแบบเชิงเดี่ยวมาเป็นการปลูกพืชแบบผสมผสานร่วมกับกาแฟ

ทั้งนี้ถือเป็นเกษตรกรรมแบบยั่งยืน สามารถช่วยลดปัญหาการตัดไม้ทำลายป่า การบุกรุกป่า และลดปัญหาสิ่งแวดล้อม นอกจากนี้ ยังทำให้เกิดความร่วมมือด้านการตลาดในการรับซื้อผลผลิตกาแฟที่มีคุณภาพของเกษตรกรที่ได้รับการส่งเสริมสนับสนุนการปลูกกาแฟอย่างครบวงจร ตามนโยบาย “ตลาดนำ นวัตกรรมเสริม เพิ่มรายได้” ซึ่งร้อยเอก ธรรมนัส พรหมเผ่า รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ได้มอบแนวทางการดำเนินงานไว้ โดยมีเป้าหมายเพื่อสร้างรายได้สร้างโอกาส และยกระดับคุณภาพชีวิตของเกษตรกรให้ดีขึ้นอย่างยั่งยืน

ด้าน นายดิษทัต ปันยารชุน ประธานเจ้าหน้าที่บริหารบริษัท ปตท. น้ำมันและการค้าปลีก จำกัด (มหาชน) (OR) กล่าวเพิ่มเติมว่า ความร่วมมือในครั้งนี้ เกิดขึ้นเพื่อแลกเปลี่ยนองค์ความรู้กับกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ในการส่งเสริมและสนับสนุนการขยายพื้นที่ปลูกกาแฟ โดยปรับเปลี่ยนเป็นการเกษตรแบบผสมผสานร่วมกับกาแฟ เพื่อให้เกษตรกรมีผลผลิตและรายได้เพิ่มขึ้นจากการปลูกกาแฟอย่างยั่งยืน ซึ่งจะช่วยพัฒนาประสิทธิภาพการผลิตกาแฟให้มีปริมาณผลผลิตและมีคุณภาพตามมาตรฐานสากล โดยเฉพาะอย่างยิ่งผลผลิตกาแฟที่เป็นเอกลักษณ์ประจำถิ่น ซึ่งสามารถเพิ่มมูลค่าของสินค้ากาแฟได้มากขึ้น

อีกทั้งยังช่วยลดปัญหาการตัดไม้ทำลายป่าและปัญหาสิ่งแวดล้อม นอกจากนี้ ยังมีความร่วมมือด้านการตลาด โดย คาเฟ่ อเมซอน (Café Amazon) จะสนับสนุนการรับซื้อผลผลิตกาแฟที่มีคุณภาพตามมาตรฐานจากเกษตรกรที่ได้รับการส่งเสริมสนับสนุนการปลูกกาแฟ ซึ่งเป็นไปตามแนวทางของ OR ที่มุ่งให้ความสำคัญกับการสร้างโอกาสและสร้างคุณค่าแก่ผู้คนโดยไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลังตลอดห่วงโซ่การดำเนินธุรกิจ

รวมทั้งยังสอดคล้องกับแนวทางการสร้างอนาคตที่ยั่งยืนผ่าน OR SDG ทั้งในด้าน “S” หรือ “SMALL” ที่มุ่งเน้นการให้โอกาสเพื่อคนตัวเล็ก ด้วยการส่งเสริมพัฒนาและยกระดับคุณภาพชีวิตความเป็นอยู่ของเกษตรกรผู้ปลูกกาแฟ ด้าน “D” หรือ “DIVERSIFIED” เพิ่มโอกาสเพื่อการเติบโตทุกรูปแบบ (More Partners, Products and Services) ผ่านศักยภาพของ OR ที่จะเป็น Platform ในการกระจายโอกาสทางธุรกิจที่หลากหลายและครอบคลุม พร้อมเติบโตไปด้วยกัน รวมทั้งในด้าน “G” หรือ “GREEN” ที่มุ่งสร้างสิ่งแวดล้อมที่อุดมสมบูรณ์ (Healthy Environment) ตามเป้าหมาย OR 2030 Goals ซึ่งตอกย้ำวิสัยทัศน์ “Empowering All Toward Inclusive Growth” เติมเต็มโอกาส เพื่อทุกการเติบโตร่วมกันอย่างแท้จริง