กรมวิชาการเกษตรโชว์เทคนิคเพาะเลี้ยงเนื้อเยื่อ “ต้นพลูคาวปลอดโรค” เพิ่ม 2 สารสำคัญ 3 เท่า

  •  
  •  
  •  
  •  
กรมวิชาการเกษตร  โชว์เทคนิคเพาะเลี้ยงเนื้อเยื่อผลิตต้นพลูคาวปลอดโรค ไร้สารพิษ ใช้เวลาน้อยผลิตได้จำนวนมาก ก๊อกสองเดินหน้างานวิจัยใช้สารกระตุ้นเพิ่มปริมาณ 2 สารสำคัญใช้ประโยชน์ในวงการแพทย์และอุตสาหกรรมเครื่องสำอางได้เพิ่มขึ้นถึง 3 เท่า   เผยทดสอบปลูกปลอดเชื้อในระบบไฮโดรโปนิกส์พบต้นโตเร็ว  มีคุณภาพ ปราศจากโรค  สร้างรายได้ให้เกษตรกรได้ตลอดปี  
       นางปิยรัตน์  ธรรมกิจวัฒน์  ผู้อำนวยการสำนักวิจัยพัฒนาเทคโนโลยีชีวภาพ กรมวิชาการเกษตร  เปิดเผยว่า  ปัจจุบันพืชสมุนไพรเป็นพืชที่มีความสำคัญทางเศรษฐกิจเป็นที่ต้องการของตลาดทั้งในประเทศและต่างประเทศ  เนื่องจากพืชสมุนไพรหลายชนิดมีสารสำคัญสามารถรักษาโรคบางชนิดได้ และยังมีสารอาหารที่มีประโยชน์ต่อสุขภาพ เช่น สมุนไพลพลูคาว สมุนไพรที่ประเทศต่างๆ นำไปใช้รักษาโรคและเป็นส่วนประกอบในอุตสาหกรรมเครื่องสำอาง  ผลิตภัณฑ์อาหารเสริมและเครื่องดื่มเพื่อสุขภาพ  ส่วนในประเทศไทย มีการใช้สมุนไพรพลูคาวเพื่อกระตุ้นภูมิคุ้มกันเป็นสารต้านมะเร็ง  รักษาภูมิแพ้ เบาหวาน และใช้เป็นยาต้านการอักเสบ
                                              ปิยรัตน์  ธรรมกิจวัฒน์ 
     อย่างไรก็ตาม การผลิตพืชสมุนไพรพลูคาวของไทยยังมีปัญหาสำคัญที่มีผลต่อปริมาณและคุณภาพของผลผลิตคือโรคใบจุดและโรคต้นกล้าแห้ง   ซึ่งการสะสมของโรคในต้นพันธุ์พลูคาวทำให้พืชมีความอ่อนแอต่อการเข้าทำลายของเชื้อสาเหตุโรคอื่นๆ และทำให้ได้ผลผลิตน้อย จึงทำให้มีการใช้สารเคมีป้องกันกำจัดโรคพืชเพิ่มมากขึ้น ส่งผลให้ผลผลิตที่ได้มีการปนเปื้อนของสารเคมีจากการป้องกันกำจัดโรค
      ดังนั้นสำนักวิจัยพัฒนาเทคโนโลยีชีวภาพ  จึงได้ทำการประยุกต์ใช้เทคนิคการเพาะเลี้ยงเนื้อเยื่อเพื่อผลิตต้นพลูคาวปลอดโรคและปลอดสารพิษจำนวนมากภายในระยะเวลาอันสั้น  ซึ่งสามารถย้ายเพื่อนำไปปลูกในโรงเรือนเพาะชำเพื่อผลิตเป็นต้นกล้าปลอดโรคให้แก่เกษตรกรได้   รวมทั้งสามารถนำต้นพลูคาวปลอดโรคและสารพิษไปต่อยอดประยุกต์ปลูกในระบบโรงงานผลิตพืช (Plant factory) ซึ่งเป็นการปลูกพืชในอาคารที่ถูกสร้างและออกแบบมาเฉพาะได้ทำให้สามารถผลิตสมุนไพรพลูคาวคุณภาพสูงได้ตลอดทั้งปี
       นอกจากนี้ สำนักวิจัยพัฒนาเทคโนโลยีชีวภาพ  ยังได้พัฒนาขั้นตอนการเพิ่มการผลิตสารสำคัญสารเคอร์ซิตรินและรูตินในพลูคาว 2 สายพันธุ์ คือพันธุ์ใบเขียวกับพันธุ์ก้านม่วง ซึ่งสารทั้ง 2 ชนิดนี้มักนิยมใช้เพื่อวัตถุประสงค์ทางการแพทย์และอุตสาหกรรมเครื่องสำอาง จึงทำให้สารสำคัญทั้ง 2 ชนิดนี้มีความสำคัญทางเศรษฐกิจ  ซึ่งแม้ว่าพลูคาวจะสามารถสังเคราะห์สารเคอร์ซิตรินและรูตินได้เองตามธรรมชาติแต่พบว่าจะมีปริมาณการผลิตที่ไม่สม่ำเสมอ   บางครั้งจะได้สารในปริมาณที่น้อยมาก  
      ทั้งนี้เนื่องจากปริมาณสารพฤกษ์เคมีหรือสารสำคัญในพืชมักแปรผันตามสภาพแวดล้อมหรือพื้นที่เพาะปลูก  แต่จากงานวิจัยของ นางสาววรารัตน์ ศรีประพัฒน์ นักวิชาการเกษตรปฏิบัติการ กลุ่มวิจัยเทคโนโลยีชีวภาพทางการเกษตร สำนักวิจัยพัฒนาเทคโนโลยีชีวภาพ พบว่าการใช้สารที่สามารถกระตุ้นให้เกิดปฏิกิริยาตอบสนองในพืชนั้นสามารถกระตุ้นให้พลูคาวสามารถเพิ่มการผลิตสารเคอร์ซิตรินในพลูคาวได้ถึง 3 เท่า และสามารถเพิ่มการผลิตสารรูตินในพลูคาวได้ถึง 1.6 เท่า ภายในระยะเวลา 72 ชั่วโมง เมื่อเทียบกับต้นที่ไม่ได้รับสารกระตุ้น   ซึ่งจะทำให้เกิดประโยชน์ในการผลิตสารสำคัญจากพืชในเชิงพาณิชย์ต่อไป
       ปัจจุบัน สำนักวิจัยพัฒนาเทคโนโลยีชีวภาพ ได้ทดสอบปลูกต้นพลูคาวปลอดเชื้อในระบบที่ไม่ใช้ดินหรือระบบไฮโดรโปนิกส์ พบว่าการปลูกพืชในระบบนี้ทำให้สามารถจัดปัจจัยต่างๆ เช่น น้ำ แสง ธาตุอาหาร และอุณหภูมิ ให้แก่พืชได้อย่างเหมาะสม ต้นพลูคาวสามารถเจริญเติบโตอย่างรวดเร็วอย่างมีคุณภาพ ปราศจากโรค ทำให้สามารถผลิตพลูคาวได้ต่อเนื่องตลอดทั้งปี   ซึ่งงานวิจัยนี้สามารถพัฒนากระบวนการผลิตพืชสมุนไพรพลูคาวสายพันธุ์ไทยเพื่อให้ได้พืชสมุนไพรที่มีคุณภาพ ปราศจากการปนเปื้อนสารพิษและสิ่งเจือปน เป็นทางเลือกในการปลูกพืชที่มีประสิทธิภาพเพื่อการวิจัยและพัฒนา  รวมทั้งควบคุมคุณภาพมาตรฐานในการผลิตสมุนไพรพลูคาวในเชิงพาณิชย์ต่อไป
    ผู้ที่สนใจ “เทคโนโลยีการพัฒนาคุณภาพสมุนไพรพลูคาว” หรือต้องการต้นพลูคาวปลอดโรค สามารถสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ กลุ่มวิจัยเทคโนโลยีชีวภาพทางการเกษตร สำนักวิจัยพัฒนาเทคโนโลยีชีวภาพ กรมวิชาการเกษตร โทร. 02-904-6885 ต่อ 213