อากาศร้อน-ฝนตกหนัก…ต้องระวัง!!โรคเหี่ยวในขิง

  •  
  •  
  •  
  •  

    ในช่วงนี้กระแสการบริโภคขิง เพื่อต้านโควิด-19 กำลังมาแรง ทำให้ผลผลิตขิงราคากระเตืองขึ้น และมีเกษตรกรหันมาขิงมากขึ้น กระนั้นกรมวิชาการเกษตร ได้แจ้งเตือนว่า ช่วระยะที่มีอากาศร้อนและมีฝนตกหนักบางพื้นที่ช่วงนี้ เกษตรกรผู้ปลูกขิงให้เฝ้าระวัง “โรคเหี่ยว” ระบาด

    โรคเหี่ยว สามารถพบได้ในทุกระยะการเจริญเติบโตของต้นขิง อาการเริ่มแรกใบแสดงอาการม้วนห่อ สีของใบซีด ต่อมาเปลี่ยนเป็นสีเหลืองและแห้ง บริเวณโคนต้นมีอาการฉ่ำน้ำ  ลำต้นเน่าหลุดออกจากเหง้าได้ง่าย หักพับ แต่ไม่มีกลิ่นเหม็น หากตรวจดูที่ลำต้นจะพบส่วนของท่อลำเลียงน้ำและอาหารมีสีน้ำตาลเข้ม เมื่อผ่าลำต้นตัดตามขวางและนำมาแช่ในน้ำสะอาดประมาณ 5-10 นาที จะพบของเหลวสีขาวคล้ายน้ำนมไหลออกมา

 

      เกษตรกรควรหมั่นตรวจและกำจัดวัชพืชในแปลงและรอบแปลงปลูกอย่างสม่ำเสมอ หากพบต้นขิงที่เริ่มแสดงอาการของโรคเหี่ยว ให้ขุดต้นที่เป็นโรคนำไปทำลายนอกแปลงปลูกทันที เพื่อลดแหล่งสะสมเชื้อสาเหตุโรค จากนั้น ให้โรยด้วยปูนขาวบริเวณหลุมที่ขุด เพื่อป้องกันการระบาดของโรค และควรทำความสะอาดอุปกรณ์การเกษตรที่ใช้กับต้นที่เป็นโรคก่อนนำกลับมาใช้ใหม่ทุกครั้ง ส่วนในแปลงที่มีการระบาดของโรค หลังการเก็บเกี่ยวผลผลิตแล้ว ให้เกษตรกรเก็บส่วนต่างๆ ของพืชที่เป็นโรคนำไปทำลายทิ้งนอกแปลงปลูกทันที

    สำหรับการป้องกันกำจัดโรคเหี่ยวในฤดูปลูกถัดไป เกษตรกรควรเลือกพื้นที่ปลูกที่ไม่เคยพบการระบาดของโรคนี้มาก่อน และควรทำแปลงปลูกให้มีการระบายน้ำที่ดี อีกทั้งเกษตรกรควรเตรียมดินก่อนปลูก โดยการไถพรวนดินให้ลึกจากผิวดินมากกว่า 20 เซนติเมตรขึ้นไป และตากดินไว้ให้นานกว่า 2 สัปดาห์ จะสามารถช่วยลดปริมาณเชื้อสาเหตุโรคในดินลงได้มาก

    นอกจากนี้ กรณีในพื้นที่ที่เคยมีการระบาดของโรค ก่อนปลูก ให้อบดินเพื่อฆ่าเชื้อโรคด้วยการโรยยูเรียผสมปูนขาว อัตรา 80:800 กิโลกรัมต่อไร่ จากนั้น ให้ไถกลบและรดน้ำให้ดินมีความชื้นและทิ้งไว้ประมาณ 3 สัปดาห์ จึงเริ่มปลูกขิง อีกทั้งให้เลือกใช้หัวพันธุ์ที่มีคุณภาพดีจากแหล่งปลอดโรค หลีกเลี่ยง การปลูกพืชอาศัยของเชื้อสาเหตุโรค เช่น พืชตระกูลขิง พืชตระกูลมะเขือ มันฝรั่ง พริก และถั่วลิสง รวมถึงควรสลับเปลี่ยนไปปลูกพืชชนิดอื่นหมุนเวียน เช่น ข้าว ข้าวโพด และมันสำปะหลัง เพื่อตัดวงจรการระบาดของโรค