3 องค์กร “สวพส.-สวก.-สพว.” จับมือพัฒนาวิจัยกัญชงสู่อุตสาหกรรม

  •  
  •  
  •  
  •  

3 องค์กร “สถาบันวิจัยและพัฒนาพื้นที่สูง-สำนักงานพัฒนาการวิจัยการเกษตร-มูลนิธิเพื่อสถาบันพัฒนาวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม” จับมือลงนามในบันทึกข้อตกลงความร่วมมือทางวิชาการ ว่าด้วยการวิจัยและพัฒนาพืชกัญชงของประเทศสู่อุตสาหกรรม ผ่านทางระบบ Facebook Live ในวันที่ 6 สิงหาคม 2564 นี้

    ในวันที่ 6 สิงหาคม 2564 นี้  3 หน่วยงานประกอบด้วยถาบันวิจัยและพัฒนาพื้นที่สูง (องค์การมหาชน) หรือ สวพส. ร่วมกับ สำนักงานพัฒนาการวิจัยการเกษตร (องค์การมหาชน) หรือ สวก. และมูลนิธิเพื่อสถาบันพัฒนาวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม หรือ สพว.จะมีการลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือ การวิจัยและพัฒนาพืชกัญชงของประเทศสู่อุตสาหกรรม   มีวัตถุประสงค์เพื่อบูรณาการการทำงานและการใช้ทรัพยากรร่วมกันของทั้ง 3 หน่วยงาน เพื่อให้เกิดประโยชน์สูงสุดในการศึกษาวิจัยและพัฒนาต่อยอดงานวิจัยด้านกัญชงอย่างครบวงจร และร่วมกันนำองค์ความรู้ที่ได้จากงานวิจัยไปต่อยอดสู่การใช้ประโยชน์ทั้งในเชิงนโยบาย เชิงสาธารณะ และเชิงพาณิชย์ ตลอดจนถ่ายทอดเทคโนโลยีและส่งเสริมความร่วมมือทางวิชาการกับภาคส่วนต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้อง โดยที่ผ่านมาแต่ละหน่วยงานได้มีการดำเนินงานในการวิจัยพัฒนาและส่งเสริมในเรื่องของกัญชงมาอย่างต่อเนื่อง

                                                        วิรัตน์ ปราบทุกข์

   นายวิรัตน์ ปราบทุกข์ ผู้อำนวยการสถาบันวิจัยและพัฒนาพื้นที่สูง (องค์การมหาชน) หรือ สวพส. เปิดเผยว่า  สวพส. ร่วมกับ มูลนิธิโครงการหลวง สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ได้วิจัยและพัฒนากัญชง (Hemp) เพื่อให้เป็นพืชเศรษฐกิจบนพื้นที่สูง มาอย่างต่อเนื่องตั้งแต่ ปี พ.ศ.2549 จนถึงปัจจุบัน โดยในช่วงแรกๆ มุ่งการใช้ประโยชน์จากเส้นใยสำหรับในครัวเรือน ต่อมาขยายการศึกษาวิจัยสู่การใช้ประโยชน์จากแกน ลำต้น เมล็ด และเส้นใยในเชิงอุตสาหกรรม และนำไปสู่การศึกษาวิจัยที่มุ่งการใช้ประโยชน์ครอบคลุมทุกส่วน ทั้งเส้นใย เมล็ด และช่อดอก สำหรับอาหาร เวชสำอาง และการแพทย์

    อย่างไรก็ตาม ข้อมูลที่มีอยู่ในปัจจุบัน เป็นผลการวิจัยที่เน้นใช้ประโยชน์จากเส้นใยเป็นหลัก จึงยังไม่สมบูรณ์มากพอสำหรับวัตถุประสงค์อื่นๆ ซึ่งความสนใจปลูกขณะนี้ส่วนใหญ่มุ่งใช้ประโยชน์จาก CBD และเมล็ด และข้อจำกัดที่สำคัญมากอีกประการหนึ่ง คือเมล็ดพันธุ์ที่ยังผลิตได้ปริมาณน้อยมาก

      สำหรับปี พ.ศ.2564 นี้ การผลิตจำนวนน้อยเพื่อใช้ในงานวิจัย ไม่สอดคล้องกับความต้องการเพิ่มขึ้นอย่างกระทันหัน ทั้งนี้จะสามารถการผลิตเมล็ดพันธุ์ให้พอเพียงได้เร็วที่สุด คือในปี พ.ศ.2565 การใช้ข้อมูลและเมล็ดพันธุ์นำเข้าจากต่างประเทศอาจจะเป็นอีกช่องทางหนึ่ง แต่ต้องทำอย่างรอบครอบ โดยมีการศึกษาทดลองก่อนนำมาใช้อย่างจริงจัง เพื่อให้กัญชงเป็นพืชเศรษฐกิจที่สร้างประโยชน์อย่างแท้จริง

     สวพส. ในฐานะที่เป็นหน่วยงานหนึ่งที่ดำเนินการวิจัยและพัฒนาพืชนี้ มีประเด็นที่จะให้ความสำคัญและดำเนินการในระยะต่อไป คือ 1. การปรับปรุงพันธุ์ให้ได้พันธุ์ที่มีสารสำคัญกลุ่ม Cannabinoids, Flavonoids หรือ Terpenes ในช่อดอกสูงสำหรับการใช้ประโยชน์ทางการแพทย์ อาหาร หรือเวชสำอาง คัดเลือกพันธุ์ที่มีเหมาะสมกับสภาพแวดล้อม 

    2. การผลิตสารสำคัญจากช่อดอก มุ่งวิจัยวิธีการปลูกและการกระตุ้นการออกดอกเพื่อให้ผลิตสารสำคัญจากช่อดอกได้อย่างมีคุณภาพและมีประสิทธิภาพ,3. การผลิตเมล็ดสำหรับการบริโภค มุ่งพัฒนาระบบการปลูกทั้งขั้นตอนวิธีการผลิตต้นทุน และความเป็นไปได้ทางธุรกิจให้สอดคล้องกับกฎหมายที่เปิดให้ใช้ประโยชน์เมล็ดเป็นอาหารและเครื่องสำอาง

      4. การแปรรูปเส้นใย มุ่งปรับปรุงและพัฒนากระบวนการแปรรูปเส้นใยกัญชงโดยปรับใช้เทคโนโลยีภายในประเทศให้ใช้ประโยชน์เส้นใยกัญชงอย่างมีประสิทธิภาพในผลิตภัณฑ์เครื่องแต่งกายทหาร อุตสาหกรรมสิ่งทอแฟชั่น และผลิตภัณฑ์ทางการแพทย์ และอื่นๆ ,และ 5. การส่งเสริมเกษตรกรในพื้นที่เพื่อการผลิตเมล็ด และส่วนประกอบต่างๆ ของกัญชง เพื่อรองรับความต้องการของประชาชนและผู้สนใจและสอดคล้องกับการพัฒนากัญชงสู่พืชเศรษฐกิจของประเทศไทยต่อไป

     ด้าน ดร.สุวิทย์ ชัยเกียรติยศ ผู้อำนวยการสำนักงานพัฒนาการวิจัยการเกษตร (องค์การมหาชน) หรือ สวก. กล่าวว่า สวก. เป็นหน่วยงานบริหารจัดการทุนวิจัยด้านการเกษตรของประเทศ ได้รับมอบหมายให้บริหารจัดการโครงการวิจัยด้านสมุนไพรไทย ตั้งแต่ปีงบประมาณ 2557– ปัจจุบัน เป็นจำนวนกว่า 240 โครงการ งบประมาณกว่า 500 ล้านบาท เพื่อวิจัยและพัฒนาต่อยอดสมุนไพรไทยในด้านการรักษาและพัฒนาผลิตภัณฑ์อื่นๆ รวมทั้งการสร้างมูลค่าเพิ่มทางเศรษฐกิจที่มีความเชื่อมโยงกับอุตสาหกรรมและภาคเศรษฐกิจต่างๆ ตลอดจนขับเคลื่อนงานอย่างเป็นระบบและครบวงจร ทำให้เกิดความร่วมมือจากหน่วยงานภาครัฐและภาคเอกชน ซึ่งผลการวิจัยที่ได้ต้องมีเป้าหมายผลผลิตและผลลัพธ์ที่เป็นรูปธรรม สามารถนำไปใช้ประโยชน์ได้จริง

    สำหรับความร่วมมือในครั้งนี้ ในขั้นแรก สวก. มีแนวทางในการสนับสนุนทุนเพื่อพัฒนาการเก็บข้อมูลต้นทุนตลอดห่วงโซ่การผลิตกัญชง ตั้งแต่การปลูก การดูแลรักษา การเก็บเกี่ยว โดยเฉพาะอย่างยิ่งในด้านการเก็บเกี่ยวผลผลิต ซึ่งที่ผ่านมา สวพส. และ สพว. ได้มีการดำเนินงานร่วมกันมาในระยะหนึ่งแล้ว แต่ประสบปัญหาในด้านต้นทุนในด้านการเก็บผลผลิตที่สูง เนื่องจากมีความจำเป็นที่ต้องใช้แรงงานคนในการเก็บเกี่ยวผลผลิต

      ด้วยเหตุนี้ สวก. จึงมีแนวทางที่จะสนับสนุนทุนวิจัยเพื่อพัฒนาเครื่องมือ/เครื่องทุ่นแรงในการเก็บเกี่ยว ซึ่งจะเป็นประโยชน์เป็นอย่างมากในการลดต้นทุนและลดเวลาในการดำเนินงานในการวิเคราะห์หาข้อมูลต้นทุนการผลิตกัญชงตลอดห่วงโซ่ รวมถึง สวก. จะร่วมสนับสนุนทุนวิจัยด้านการวิเคราะห์ปริมาณสาร CBD THC          ที่เหมาะสมของกัญชงในการนำมาทำเป็นผลิตภัณฑ์ที่เกี่ยวกับสุขภาพ สวก. ยังได้หารือกับ ISMED ในการรวบรวมข้อมูลในทุกๆ ด้านของกัญชง เพื่อจัดเป็นฐานข้อมูลด้านกัญชงของประเทศต่อไป

     ขณะที่นายธนนนทน์ พรายจันทร์ ผู้อำนวยการสถาบันพัฒนาวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมหรือ สพว. กล่าวว่า  สำหรับประเทศไทย กัญชงมีความสำคัญต่อการพัฒนายกระดับอุตสาหกรรม S-Curve และ New S-Curve ในฐานะที่เป็นพืชเศรษฐกิจที่จะมีบทบาทในการพัฒนาเป็นสินค้าอุตสาหกรรมที่มีเทคโนโลยีและนวัตกรรมของประเทศในอนาคตอันใกล้นี้ ซึ่งภาคเอกชนไทยมีความต้องการใช้กัญชงเป็นวัตถุดิบเพื่อการสร้างมูลค่าเพิ่มในระดับอุตสาหกรรมมานานแล้ว ขณะที่ภาคการเกษตรก็ต้องการปลูกพืชกัญชงเป็นพืชเศรษฐกิจตัวใหม่ทดแทนข้าวโพดเลี้ยงสัตว์และพืชมูลค่าต่ำอื่น ๆ  รวมถึงปัจจุบันกฎหมายกำลังเปิดกว้างเพื่อให้ภาคธุรกิจสามารถลงทุนพัฒนาผลิตภัณฑ์จากกัญชงออกสู่ตลาดในเชิงพาณิชย์ได้หลากหลายและคล่องตัวมากขึ้น

    สำหรับการถ่ายทอดสดการจัดพิธีลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือดังกล่าว สามารถรับชมได้ทาง https://www.facebook.com/ardathai ในวันที่ 6 สิงหาคม 2564 ตั้งแต่เวลา 10.00 น. เป็นต้นไป