พลิกสวนผักอินทรีย์ เป็น “ไร่องุ่น คุณวิชัย” ได้ GAP แห่งแรกในหนองคาย ขายเองหน้าสวนวันละ 1,500 บาท

  •  
  •  
  •  
  •  
โดย…พนารัตน์  เสรีทวีกุล

    “การปลูกองุ่นในแต่ละวันจะขายที่หน้าราคากิโลกรัมละ 100-150 บาท  ขึ้นอยู่กับพันธุ์และคุณภาพผลผลิต   โดยเฉลี่ยแล้วสามารถขายได้วันละ 10 กิโลกรัม  รวมรายได้ประมาณวันละ 1,500 บาท   มีรายได้ดีกว่าผักสลัดที่มีรายได้เฉลี่ยเพียงวันละ 400-600 บาท”

     กว่าจะถึงวันนี้ของ นายวิชัย  ทดเจริญ เจ้าของ “ไร่องุ่น คุณวิชัย” ที่บ้านกาญจนา ต.รัตนวาปี อ.รัตฯวาปี จ.หนองคาย ที่กลายเป็นไร่องุ่นแห่งแรกของจังหวัดหนองคาย ที่ได้รับรองมาตรฐานการผลิตพืชปลอดภัย (GAP) นั้น นายวิชัย ได้เริ่มต้นอาชีพทำการเกษตรโดยปลูกผักอินทรีย์ ผักปลอดสารแบบยกแคร่หรือผักขึ้นโต๊ะ มาก่อน โดยในกระบวนการผลิตใช้วัสดุปลูก ปุ๋ยหมักและน้ำหมักที่ทำขึ้นเอง และได้รับคำแนะนำให้ขอรับรองมาตรฐานการผลิตพืชปลอดภัย หรือ GAP กับศูนย์วิจัยและพัฒนาการเกษตรหนองคาย  กรมวิชาการเกษตร  ซึ่งเจ้าหน้าที่ได้เข้าไปตรวจเยี่ยมแปลง  และให้คำปรึกษา แนะนำการใช้ปุ๋ยชีวภาพและสารชีวภัณฑ์  วิธีการผลิตและวิธีการใช้เชื้อราไตรโคเดอร์มาป้องกันกำจัดโรคจากเชื้อรา จนทำให้แปลงผักของนายวิชัยได้รับการรับรอง GAP


กระนั้น นายวิชัย เห็นว่าการปลูกผักนั้นทำได้ง่ายและปลูกกันมาก ทำให้ในบางช่วงผลผลิตมากจนล้นตลาดราคาผักตกต่ำ  จึงศึกษาหาข้อมูลการปลูกพืชอื่นๆ จนพบว่า องุ่นเป็นพืชที่น่าสนใจสร้างรายได้ดีกว่าผักสลัดและยังมีการปลูกน้อยจึงได้เริ่มต้นปลูกองุ่นครั้งแรกจำนวน 26 ต้น โดยปลูกในวงบ่อใช้วัสดุปลูกที่ทำเอง ให้น้ำแบบสปริงเกอร์โดยผสมน้ำหมักไปกับระบบน้ำด้วย  จากการหมั่นสังเกตและดูแลเอาใส่ใจอย่างใกล้ชิด ทำให้องุ่นเจริญเติบโตและให้ผลผลิตดี จึงตัดสินใจขยายพื้นที่ปลูกเพิ่มขึ้น  พันธุ์ที่ปลูก ได้แก่ พันธุ์แบล็คโอปอร์ ไวท์มะละกา ป๊อกดำ บิวตี้ รูทเพอเรท ไชน์มัสแคท และพันธุ์คาร์ดินัล  โดยการปลูกมีทั้งระบบโรงเรือนแบบเปิดและโรงเรือนแบบปิด


นายวิชัย บอกวิธีการปลูกองุ่นที่ไร่ของเขาว่า เตรียมวัสดุปลูกโดยโรยปูนขาว 200 กรัม/ต้น รองพื้นด้วยปุ๋ยหมัก 1 กิโลกรัม/ต้น ขุยมะพร้าว 1 กิโลกรัม/ต้น และใช้ฟางข้าวแห้งที่ตากทิ้งไว้นาน 1 เดือน ก่อนนำมาคลุมหน้าดินให้ทั่วบริเวณ  หลังปลูก 15-30 วัน เมื่อต้นแข็งแรงตั้งตัวได้เริ่มใส่ปุ๋ยสูตร 15-15-15 และน้ำหมักชีวภาพ น้ำหมักปลา น้ำหมักรกหมู โดยใส่ปุ๋ยเคมีสูตร 15-15-15 อัตรา 30 กรัม/ต้น ทุก 15 วัน และน้ำหมักรกหมู อัตรา 350 มิลลิลิตร/น้ำ 20 ลิตร ใส่ทุก 30 วัน เพื่อใช้ในการบำรุงต้น  

     หลังปลูก 2 เดือนใช้น้ำหมักรกหมู 350 มิลลิลิตร/น้ำ 20 ลิตร ใส่ปุ๋ยคอก 1 กิโลกรัม/ต้น หลัง 3 เดือนเพิ่มปริมาณการใช้ปุ๋ยเคมีสูตร 15-15-15 เป็น 60 กรัม/ต้น ใส่ทุก 15 วัน จนครบอายุ 6 เดือน ใส่ปุ๋ยเคมีสูตร 13-13-21 อัตรา 200 กรัม/ต้น หลัง 7 เดือน ใส่ปุ๋ยเคมีสูตร 8-24-24 อัตรา 100 กรัม/ต้น ร่วมกับปุ๋ยเคมีสูตร 13-13-21 อัตรา 100 กรัม/ต้น ทุก 15 วัน เมื่อต้นอายุ 8 เดือน หยุดให้น้ำ 7-10 วัน เพื่อเตรียมตัดแต่งกิ่ง


หลังจากองุ่นอายุ 9 เดือนหลังปลูก จะตัดแต่งใบและยอดออกให้เหลือ 6 ข้อ เพื่อบังคับการออกผล ใส่ปุ๋ยมูลไก่ผสมกับปุ๋ยมูลวัว อัตราส่วน 1:1 ที่หมักสมบูรณ์แล้ว ต้นละ 2 กิโลกรัม ร่วมกับปุ๋ยเคมีสูตร 15-15-15 อัตรา 500 กรัม/ต้น ให้น้ำจนชุ่มวันเว้นวัน หลังตัดแต่ง 20 วันจะเริ่มเห็นช่อดอกและเริ่มติดดอก ประมาณ 60 วันองุ่นจะเริ่มออกผล ถ้าช่อไหนผลแน่นเกินไปจะตัดลูกเล็กหรือที่เรียกว่าลูกแก้วออก  ใส่ปุ๋ยเคมีสูตร 15-15-15 อัตรา 200 กรัม/ต้น ครบ 70 วันใส่ปุ๋ยเคมีสูตร 8-24-24 อัตรา 100 กรัม/ต้น ครบ 100 วันใส่ปุ๋ยเคมีสูตร 13-13-21 อัตรา 100 กรัม/ต้น   ส่วนการป้องกันกำจัดศัตรูพืชจะใช้เชื้อราไตรโคเดอร์มาที่เจ้าหน้าที่จากศูนย์วิจัยและพัฒนาการเกษตรหนองคายได้เข้ามาให้คำแนะนำวิธีการผลิตและวิธีการใช้  โดยใช้ฉีดพ่นเพื่อป้องกันเชื้อราในช่วง 2 เดือนหลังปลูก และใช้น้ำส้มควันไม้ 10 มิลลิลิตร/น้ำ 20 ลิตรกำจัดแมลงปีกแข็ง


ช่วงที่องุ่นมีอายุครบ 120 วัน จะลดการให้น้ำเพื่อให้องุ่นมีความหวานมากขึ้น  และจะเก็บเกี่ยวผลผลิตช่วงอายุ 120 วันขึ้นไป  โดยใช้กรรไกรตัดบริเวณขั้วและนำมาใส่ในตะกร้าที่สะอาดที่ไม่ก่อให้เกิดการปนเปื้อนสู่ผลผลิต  ซึ่งนายวิชัย บอกว่า การปลูกองุ่นในแต่ละวันจะขายที่หน้าราคากิโลกรัมละ 100-150 บาท  ขึ้นอยู่กับพันธุ์และคุณภาพผลผลิต   โดยเฉลี่ยแล้วสามารถขายได้วันละ 10 กิโลกรัม  รวมรายได้ประมาณวันละ 1,500 บาท   มีรายได้ดีกว่าผักสลัดที่มีรายได้เฉลี่ยเพียงวันละ 400-600 บาท ตอนนี้ นายวิชัยได้ กำลังวางแผนให้องุ่นให้ผลผลิตทั้งปี ด้วยวิธีตัดแต่งกิ่งบังคับการออกดอกติดผลในนอกฤดกาลทั่วไป



ด้านนายจำลอง  กกรัมย์  ผู้อำนวยการสำนักวิจัยและพัฒนาการเกษตรเขตที่ 3 จ.ขอนแก่น (สวพ.3) กรมวิชาการเกษตร  กล่าวว่า  การตรวจประเมินและให้การรับรองแหล่งผลิต GAP เป็นอีกหนึ่งภารกิจที่สำคัญของกรมวิชาการเกษตร  จึงได้มอบหมายให้เจ้าหน้าที่ศูนย์วิจัยและพัฒนาการเกษตรหนองคายเข้าไปตรวจประเมินแปลงองุ่นของนายวิชัยตามหลักเกณฑ์การตรวจประเมินรับรองแหล่งผลิต GAP ซึ่งนายวิชัยนับเป็นเกษตรกรที่มีความตั้งใจและมุ่งมั่นในการประกอบอาชีพเกษตรกรรม ใส่ใจหาความรู้และเปิดรับความรู้ใหม่ๆ อยู่เสมอ  และได้นำคำแนะนำของเจ้าหน้าที่ศูนย์วิจัยและพัฒนาการเกษตรหนองคายไปปรับใช้ในแปลงอย่างต่อเนื่องตั้งแต่เริ่มต้นทำผักสลัดมาจนถึงไร่องุ่น  จนทำให้ไร่องุ่นของนายวิชัยได้รับการรับรองมาตรฐาน GAP เมื่อวันที่ 17 กุมภาพันธ์ 2564  ซึ่งถือเป็นไร่องุ่นที่ได้รับการรับรอง GAP เป็นแห่งแรกของจังหวัดหนองคาย