แบน 3 สารเคมี..หรือปล้นเกษตรกร?

  •  
  •  
  •  
  •  

โดย….สุกรรณ์ สังข์วรรณะ

 นายกสมาคมเกษตรปลอดภัย

  สุกรรณ์ สังข์วรรณะ

“การแบน พาราควอต ไกลโฟเสท และคลอร์ไพรีฟอส แค่เป็นการเปลี่ยนขั้วของภาคธุรกิจเกษตร สารตัวเก่ายังอยู่ รายได้เข้าธุรกิจกลุ่มเก่า แต่ถ้าแบนได้แล้วเอาตัวใหม่มาแทน รายได้ก็จะเข้ากลุ่มธุรกิจกลุ่มใหม่แค่นี้เอง ที่ต้องการจะแบน ที่สำคัญถ้าแบนได้สำเร็จ เกษตรกรต้องควักเงินในส่วนต้นทุนการผลิตเพิ่มมากขึ้นกว่า 4 เท่าตัว”

            ท่าน รัฐมนตรีว่าการกระทรวง  รัฐมนมตรีช่วยว่าการ และสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร(ส.ส.)ทั้งหลาย ขอได้โปรดอย่าหักหลังเกษตรกร ที่กาบัตรเลือกตั้ง เลือกพวกท่านจนได้ไปเสวยสุขอยู่ ณ ทุกวันนี้

          ประเทศไทย มีประชาชนส่วนใหญ่เป็นเกษตรกร พื้นที่ส่วนใหญ่อยู่นอกเขตชลประทาน ต้องพึ่งพาน้ำฝน ที่เอาความแน่นอนไม่ได้ บางปีก็แล้ง บางปีก็น้ำท่วม เกษตรกรส่วนใหญ่ปลูกพืชเพื่อป้อนโรงงานอุตสาหกรรมหรือเรียกว่าเกษตรอุตสาหกรรม

          ขอย้ำว่า สารเคมีทุกตัวในภาคการเกษตร มันเป็นปัจจัยการผลิต ที่จำเป็นต่อการทำเกษตรอุตสาหกรรม ที่จะนำไปสู่ให้ผลผลิตที่จะนำไปหล่อเลี้ยงคนในแต่ละภาคการผลิตนับล้านๆคน มันคือต้นทุนการผลิตอย่างหนึ่ง  ถ้าไม่มีสารเคมีแล้ว เกษตรกรจะเดือดร้อน พูดกันให้ตรงประเด็น คือสารยังมีความจำเป็นที่ต้องใช้ในภาคการเกษตร เพราะบ้านเราพัฒนาสู่เกษตรอุตสาหกรรม เกษตรปลอดภัย เพื่อแข่งขันกับตลาดโลก ไม่ได้แข่งกันเอง หรือปลูกไว้กินเอง ที่เหลือค่อยนำไปขายเหมือนในอดีต นี่คือตัวสำคัญที่สร้างจีดีพีให้ประเทศชาติ  สร้างเม็ดเงินหมุนเวียนให้กลับมากระจายในประเทศ

 

        พวกเราเกษตรกรส่วนใหญ่ล้วนรู้ดีว่า สารเคมีหากใช้ไม่ถูกวิธีมันอันตรายกันทั้งนั้น แม้แต่ยารักษาโรคหากใช้เกินพอดีก็มีความอันทรายกัยทั้งสิ้น พวกเรารู้ดีว่าการใช้ยาตัวไหน ใช้สารเคมีช่วงไหน ต้องใช้ปริมาณเท่าไร จึงต่อสู้กับโรคและแมลงศรัตรูพืชได้ และไม่อันตรายต่อสุขภาพของพวกเรา และสิ่งแวดล้อม เราทำกันมาหลายสิบปี แล้ว ผลผลิตสามารถส่งออกกันได้ โดยไม่มีปัญหาว่ามีสานตกค้าง

       ฉะนั้นขอย้ำคำว่า “เรา” เพราะเรากว่า 80%ของเกษตรกรทั้งประเทศ คือกลุ่มเกษตรกรจริงๆ ทั้งรายใหญ่รายย่อยไม่ใช่นายทุน  เราทำเกษตรปลอดภัย เกษตรอุตสาหกรรมที่ต้องแข่งกับตลาดโลกที่นับวันยิ่งมีการแข่งขันสูงขึ้นทุกขณะ

       แต่ท่าน…กลับไปเชื่อข้อมูลด้านเดียวจากคนที่แทบไม่เคยแตะอาชีพเกษตรกรเลย ไม่เคยลงมือทำเป็นอาชีพในภาพใหญ่ ท่านอาจเชื่อคนทำเกษตรอินทรีย์ที่มีโวลุ่มในตลาดโลกแค่เปอร์เซ็นต์เดียวเท่านั้น ซึ่งคนกลุ่มนี้แอนตี้สารเคมีเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว เราเองก็ชมเชยที่กลุ่มเกษตรกรเหล่าไม่ใช่สารเคมี แต่พวกเราส่วนใหญ่ เราทำเกษตรในรูปแบบของเกษตรอุตสาหกรรม

       แล้วท่านเคยถามคนเหล่านี้หรือไม่? ยอมรับหรือเปล่าว่า เกษตรอินทรีย์จริงๆ ต้นทุนสูงกว่า ให้ผลผลิตต่ำกว่า และเสี่ยงกว่าเกษตรปลอดภัยด้วย

         ท่านยอมรับไหมว่า ท่านเองแทบไม่รู้เรื่องอะไรเลย เกี่ยวกับเกษตรอินทรีย์ เกษตรปลอดภัย เกษตรอุตสาหกรรม หรือแม้แต่จีเอพีเลย ใช่หรือไม่?

         ท่านไปเชื่อข้อมูลด้านเดียวที่ใช้ประโยคว่า เชื่อว่า มีแนวโน้มว่า อาจจะเชื่อได้ว่า จะก่อให้เกิดโรคโน่น นี่ นั่น  แต่ท่านไม่ยอมเชื่อข้อมูลงานวิจัยทางวิทยาศาสตร์ ที่พิสูจน์มาแล้ว จากทั้งไทยและต่างประเทศ

         ท่านเชื่อข้อมูลที่แทบจะหาความจริงไม่ได้ มีแต่ความน่าจะเป็น… ที่สำคัญท่านแทบไม่เคยรับฟังคำอธิบายใดๆจากคนที่เขาอยุ่ในอาชีพเกษตรโดยตรงกันเลยอย่างพวกเรา

        ท่านทราบหรือไม่ สารเคมียังมีจำเป็นมากสำหรับอุตสาหกรรมการเกษตร เพราะว่าแมลง ศัตรูพืช เชื้อต่างๆอีกมากมายหลายชนิด ที่ชีวภัณฑ์ต่างๆ ไม่สามารถกำจัดได้ และตัวที่ทำลายพืชเหล่านี้ ก็มักอยุ่ในพืชเศรษฐกิจแทบทั้งสิ้น

        เราไม่อยากใช้เท่าไรหรอกครับ พาราควอต ไกลโฟเสท และคลอร์ไพรีฟอส ท่านหาสารตัวใหม่ ที่ใช้แล้วได้ผลดีกว่าเท่าเทียมกัน  อันตรายน้อยกว่า ต้นทุนการน้อยมาให้เกษตรกร ถ้าคิดจะแบนสารเหล่านี้จริงๆ แล้วเอาชีวภัณฑ์ที่ทดแทนมาให้เราใช้สิครับ!

       ขอเพียงได้โปรด อย่าแบนตัวหนึ่ง แล้วเอาตัวใหม่มาแทนที่มันเป็นเคมีเหมือนกัน  มันไม่ใช่เป็นการการแก้ปัญหา แค่สลับตัวยาเท่านั้น

         ไหนว่าจะไม่เอาเคมี  นี่มันคือการสร้างปัญหาให้กับเกษตรกร และชาติบ้านเมืองที่ต้องเผชิญกับสารเคมีตัวใหม่ ที่ทำให้ต้นทุนสูงขึ้น และอันตรายด้วย

       หามาให้เราซิตรับ ชีวภัณฑ์ที่ให้ผล ประสิทธิภาพใกล้เคียงหรือดีกว่า ราคาใกล้เคียงกับสารเหล่านี้ ถ้าท่านหาได้ เราก้คงพร้อมที่จะใช้ และถ้ามีจริงเราคงใช้กันมาตั้งนานแล้ว ไม่ใช่ว่า พอท่านแบนสาร 3 ตัวนี้แล้ว ท่านมาเสนอให้เราใช้ “กลูโฟซิเนส” ที่มีต้นทุนสูงถึงไร่ละ 3,000 บาท ขณะที่พาควอตไร่ละ 90-540 บาทเท่านั้น

        ท่านทราบแล้วยังครับว่า เอ็นจีโอในประเทศอังกฤษ ระบุชัดว่า  กลูโฟซิเนส ก่อมะเร็งและทำลายประสาท หรือท่านจะให้พวกเราไปใช้แรงงานคนมาด้ายหญ้ามั้ย ต้นทุนไร่ละ 7,200 บาท (พาราควอตลิตรละ 90 บาท กูลโฟซิเนสลิตรละ 500 บาท.แรงงานคนวันละ 300บาท)

เกษตรกรยืนยันพื้นที่ตรงเคยใช้พาราควอตแต่สิ่งมีชีวิตอยู่ได้

       ท่าน รัฐมนตรี รัฐมนตรีช่วยฯ และส.ส.ทั้งหลาย ที่เห็นด้วยกับการแบนสารทั้ง 3 ตัวนี้ เรามีความรู้สึกราวกับว่า ท่านกำลังจะร่วมกันปล้นพี่น้องเกษตรกรให้เสียเงินมากขึ้น …ปล้นอย่างไร?…

       การแบน พาราควอต ไกลโฟเสท และคลอร์ไพรีฟอส แค่เป็นการเปลี่ยนขั้วของภาคธุรกิจเกษตร สารตัวเก่ายังอยู่ รายได้เข้าธุรกิจกลุ่มเก่า แต่ถ้าแบนได้แล้วเอาตัวใหม่มาแทน รายได้ก็จะเข้ากลุ่มธุรกิจกลุ่มใหม่แค่นี้เอง ที่ต้องการจะแบน ที่สำคัญถ้าแบนได้สำเร็จ เกษตรกรต้องควักเงินในส่วนต้นทุนการผลิตเพิ่มมากขึ้นกว่า 4 เท่าตัว

         พวกเราเกษตรกรอาชีพ ไม่โง่ แต่…แค่ไม่มีอำนาจวาสนาเท่านั้น ใครที่รู้ตัวว่าโดนหลอกใช้ ลองหันมาศึกษาข้อเท็จในเชิงวิทยาศาสตร์อย่างละเอียดว่าเท็จจริงของสารเคมีแต่ละชนิดเป็นอย่าง ได้ข้อมูลที่เป็นวิทยาศาสตร์แล้ว ก็ให้กลับตัวเสียใหม่ ยังไม่สายครับ

ลักษณะวัชพืชหลังฉีดพาราควอต

          แล้วเกษตรกรจะทำอะไร?  ในที่สุดแล้ว เกษตรกร(ส่วนใหญ่)  ต้องตัดสินใจว่า จะแบนพรรคการเมืองที่เสนอแบนสาร 3 ตัวนี และเราจะเผยแพร่ข่าวว่า ใครบ้าง พรรคใดบ้าง ที่เป็นต้นเหตุของการแบน ปัจจัยกาผลิตรทางการเกษตรอันเป็นอาชีพของพวกเรา

         เลือกตั้งครั้งหน้า พวกเราตั้งปณิธานว่า จะบอกพรรคเราว่า อย่าไปเลือกพรรคการเมืองที่สนับสนุนให้แบนสารทั้ง 3 ตัวนี้  อย่าให้คนเหล่านี้ มามีอำนาจ มาเป็น ส.ส.อีก งานนี้เกษตรกร จะดำเนินการตามปณิฐานและจะทำให้ถึงที่สุดครับ!