กรมวิชาการเกษตรประสบผลสำเร็จต่อยอดงานวิจัยเมล็ดมะม่วง ทำเป็นผลิตภัณฑ์บำรุงผิว “โลชั่นผิวขาว ป้องกันการเกิดริ้วรอย” เผยทำให้ผิวพรรณ หน้า่อนกว่าวัย หลังพบว่าเนื้อในเมล็ดมะม่วงวัสดุเหลือใช้จากการแปรรูป หลังพบเนื้อในเมล็ดมะม่วงพันธุ์แก้วขมิ้นมีไขมันเป็นองค์ 7-12 % ที่อุดมด้วยสารในกลุ่มแคโรทีนอยด์ และสารประกอบฟินอลิก ที่มีคุณสมบัติให้ความชุ่มชื้นแก่ผิวมนุษย์ได้ดี
นายระพีภัทร์ จันทรศรีวงศ์ อธิบดีกรมวิชาการเกษตร เปิดเผยว่า ในแต่ละปีมีมะม่วงที่เหลือจากการขายผลสดเพื่อบริโภคยังมะม่วงอีกส่วนหนึ่งที่นำมาแปรรูปโดยเฉพาะมะม่วงพันธุ์แก้วขมิ้นจะมีการแปรรูปอย่างกว้างขวาง ทำให้เมล็ดกลายเป็นของเหลือใช้ ส่งผลให้เกิดขยะเหลือทิ้งจากการกระบวนการแปรรูปมะม่วงเป็นจำนวนมากก่อให้เกิดมลภาวะต่อสิ่งแวดล้อม ทั้งที่ในความเป็นจริงแล้วในเมล็ดมะม่วงเป็นเนื้อในเมล็ดอยู่ถึง 45-75 เปอร์เซ็นต์ของเมล็ดมะม่วงทั้งหมด ซึ่งพบว่าเนื้อในเมล็ดมะม่วงมีไขมันเป็นองค์ประกอบ 7-12 %
ที่สำคัญไขมันที่สกัดได้จากเนื้อในเมล็ดมะม่วงมีคุณสมบัติพิเศษหลายประการ ทั้งการมีช่วงอุณหภูมิของการหลอมเหลวใกล้เคียงกับอุณหภูมิร่างกาย ทำให้สามารถละลายและให้ความชุ่มชื้นแก่ผิวมนุษย์ได้ดี นอกจากนี้ยังมีรายงานการค้นพบสารต้านอนุมูลอิสระหลายชนิดในไขมันจากเนื้อในเมล็ดมะม่วง เช่น สารในกลุ่มแคโรทีนอยด์ และสารประกอบฟินอลิก ที่สามารถทำให้ผิวขาวขึ้น และป้องกันการเกิดริ้วรอยที่เป็นผลมาจากปฏิกิริยาออกซิเดชั่นได้
ระพีภัทร์ จันทรศรีวงศ์
กองวิจัยและพัฒนาวิทยาการหลังการเก็บเกี่ยวและแปรรูปผลผลิตเกษตร กรมวิชาการเกษตร จึงได้วิจัยคุณสมบัติที่สำคัญของไขมันที่สกัดได้จากเนื้อในเมล็ดมะม่วงเพื่อใช้เป็นส่วนประกอบในการผลิตภัณฑ์เครื่องสำอาง พบว่า ไขมันเนื้อในเมล็ดมะม่วงแก้วขมิ้นมีกรดไขมันอิ่มตัวและไม่อิ่มตัวเป็นองค์ประกอบ 37.89 และ 62.11 เปอร์เซ็นต์ ตามลำดับ มีจุดหลอมเหลวที่ 36.67 องศาเซลเซียส ซึ่งใกล้เคียงกับอุณหภูมิร่างกายของมนุษย์
เมื่อตรวจสอบคุณสมบัติที่สำคัญทางเครื่องสำอาง พบว่ามีความสามารถในการยับยั้งปฏิกิริยาออกซิเดชัน และยับยั้งกิจกรรมของเอนไซม์ไทโรซิเนสที่เป็นสาเหตุความหมองคล้ำของผิว รวมทั้งสามารถยับยั้งกิจกรรมของเอนไซม์ไฮยารูลอนิเดสที่ทำหน้าที่ในการย่อยกรดไฮยาลูรอนิคที่กักเก็บความชุ่มชื่นใต้ผิวหนัง และยังมีความสามารถในการยับยั้งกิจกรรมของเอนไซม์อีลาสเตสและคอลลาจีเนสที่เป็นสาเหตุของริ้วรอยและความเหี่ยวย่น
งานวิจัยนี้ได้นำไขมันเนื้อในเม็ดมะม่วงมาทำเป็นส่วนผสมสำคัญในการให้ความชุ่มชื่นในโลชั่นทาผิว ที่ปริมาณ 1.0-3.0 เปอร์เซ็นต์โดยน้ำหนัก พบว่า ค่าความเป็นกรด-ด่างของโลชันเป็นไปตามมาตรฐาน มอก. 478-2555 “ผลิตภัณฑ์ทาบำรุงผิว” และไม่ก่อให้เกิดอาการแพ้และระคายเคืองโดยการทดสอบจากผู้เชี่ยวชาญด้านผิวหนัง
ดังนั้นไขมันเนื้อในเมล็ดมะม่วงพันธุ์แก้วขมิ้นที่ได้มาจากส่วนเหลือทิ้งจากกระบวนการแปรรูปจึงสามารถใช้เป็นส่วนผสมเพื่อให้ความชุ่มชื่นในเครื่องสำอางต่าง ๆ ได้ และยังสามารถใช้แทนไขมันจากพืชที่มีราคาแพงเช่น ไขมันจากเมล็ดโกโก้และเมล็ดเชียที่เป็นส่วนประกอบสำคัญในเครื่องสำอางที่ต้องนำเข้าจากต่างประเทศ
นายระพีภัทร์ กล่าวอีกว่า งานวิจัยนี้สอดรับกับนโยบายเศรษฐกิจหมุนเวียนหนึ่งในกุญแจสำคัญของนโยบายรัฐบาลในการขับเคลื่อนด้วยโมเดลเศรษฐกิจใหม่โดยนำทรัพยากรและผลิตภัณฑ์ต่าง ๆ ที่ใช้ประโยชน์ในขั้นแรกไปแล้วนำมาใช้เป็นวัตถุดิบในกระบวนการผลิตอีกครั้ง โดยอาจนำกลับมาใช้ใหม่หรือผลิตเป็นผลิตภัณฑ์ใหม่ ซึ่งเป็นการสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับส่วนเหลือทิ้งในกระบวนการผลิตเพื่อปริมาณขยะจากภาคการผลิตให้เป็นศูนย์ (ZERO WASTE)