ดร.สุรสีห์ กิตติมณฑล
เลขาฯ สทนช. โต้เลขาธิการพรรคเพื่อไทย กรณีเตรียมรับมือสถานการณ์อุทกภัย ยืนยันชัดเจนการบริหารจัดการน้ำของรัฐบาล มุ่งขับเคลื่อนแผนแม่บทฯน้ำ 20 ปี เพื่อแก้ไขปัญหาตั้งแต่ต้นน้ำจนถึงปลายน้ำ เน้นจัดการพื้นที่วิกฤติทั่วประเทศ โดยพิจารณาผลกระทบในทุกมิติและให้ความสำคัญกับการมีส่วนร่วมของภาคประชาชน ทั้งออกมาตรการล่วงหน้าเพื่อรับมือภัยตามฤดูกาล ส่งผลให้จำนวนพื้นที่ท่วม-แล้ง ลดลงอย่างต่อเนื่อง
ดร.สุรสีห์ กิตติมณฑล เลขาธิการสำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติ (สทนช.) เปิดเผยว่า กรณีรองเลขาธิการพรรคเพื่อไทย แสดงความเห็นว่า ในการเตรียมรับมือสถานการณ์อุทกภัย รัฐบาลควรมองปัญหาการบริหารจัดการน้ำทั้งประเทศอย่างเป็นองค์รวมทั้งระบบ เนื่องจากมาตรการระยะสั้นอาจไม่เพียงพอ พร้อมระบุว่า แผนยุทธศาสตร์การบริหารจัดการทรัพยากรน้ำของรัฐบาล ตั้งแต่ปี 58-69 หากนับเฉพาะปี 60-65 รัฐบาลใช้งบประมาณไปแล้ว 3.64 แสนล้านบาท ซึ่งมากกว่าโครงการบริหารจัดการน้ำทั้งระบบ 3.5 แสนล้านบาทของรัฐบาล น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี แต่กลับไม่สามารถแก้ปัญหาน้ำท่วม น้ำแล้งได้อย่างมีประสิทธิภาพ นั้น
สทนช. ขอชี้แจงว่า รัฐบาลได้ดำเนินการแก้ไขปัญหาอุทกภัยและน้ำแล้งมาอย่างต่อเนื่อง โดยมีคณะกรรมการทรัพยากรน้ำแห่งชาติ (กนช.) ขับเคลื่อนแผนแม่บทการบริหารจัดการทรัพยากรน้ำ 20 ปี ซึ่งมีการดำเนินการขับเคลื่อนร่วมกับส่วนราชการต่าง ๆ มากกว่า 48 หน่วยงาน เพื่อแก้ไขปัญหาเรื่องทรัพยากรน้ำในทุกมิติ ตั้งแต่ต้นน้ำ กลางน้ำ จนถึงปลายน้ำ โดยมุ่งเน้นขับเคลื่อนแผนงานโครงการขนาดใหญ่ที่สามารถแก้ไขปัญหาได้ในวงกว้าง ซึ่งปัจจุบันได้มีการขับเคลื่อนไปแล้ว จำนวน 44 โครงการ เมื่อดำเนินการแล้วเสร็จสามารถเพิ่มปริมาณน้ำเก็บกักรวม 1,414 ล้านลูกบาศก์เมตร (ลบ.ม.) มีพื้นที่รับประโยชน์ 1.48 ล้านไร่ ครัวเรือนรับประโยชน์ 319,765 ครัวเรือน
ทั้งนี้ เป็นโครงการที่ได้รับงบประมาณในการดำเนินการแล้ว จำนวน 24 โครงการ ซึ่งอยู่ระหว่างการก่อสร้าง เช่น โครงการบรรเทาอุทกภัยนครศรีธรรมราช โครงการป้องกันและบรรเทาอุทกภัยเมืองชุมพร โดยกรมชลประทาน สามารถช่วยป้องกันพื้นที่น้ำท่วมได้ 61,000 ไร่ ซึ่งปัจจุบันสามารถช่วยป้องกันบรรเทาอุทกภัยเมืองชุมพรได้บางส่วนแล้ว
สำหรับการดำเนินงานโครงการด้านทรัพยากรน้ำที่ผ่านมา รัฐบาลได้อนุมัติโครงการสำคัญที่ได้รับการขับเคลื่อนแล้ว ในช่วงปี 59-65 จำนวน 241 โครงการ เมื่อโครงการแล้วเสร็จสามารถเพิ่มน้ำต้นทุนได้ 1,371 ล้าน ลบ.ม. มีพื้นที่รับประโยชน์กว่า 1,400,000 ไร่ พื้นที่ป้องกันน้ำท่วม 1,250,541 ไร่ ครัวเรือนรับประโยชน์ 505,828 ครัวเรือน เช่น ประตูระบายน้ำ ศรีสองรัก จ.เลย อ่างเก็บน้ำลำสะพุงอันเนื่องมาจากพระราชดำริ จ.ชัยภูมิ ประตูระบายน้ำลำน้ำพุง-น้ำก่ำ จ.สกลนคร
ปรับปรุง คลองยม-น่าน จ.สุโขทัย คลองระบายน้ำหลาก บางบาล-บางไทร จ.พระนครศรีอยุธยา ฟื้นฟูพัฒนา คลองเปรมประชากร (คลองผดุง – คลองรังสิต) อุโมงค์ระบายน้ำใต้คลองเปรมประชากร จ.กรุงเทพมหานคร บรรเทาอุทกภัยอำเภอบางสะพานอันเนื่องมาจากพระราชดำริ จ.ประจวบคีรีขันธ์ เป็นต้น ซึ่งโครงการบางส่วนที่รัฐบาลได้ดำเนินการไปแล้วนั้นเป็นโครงการเดียวกับโครงการบริหารจัดการน้ำทั้งระบบ 350,000 ล้านบาท ในสมัยรัฐบาล น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร
อย่างไรก็ตาม การดำเนินการของรัฐบาลได้เน้นการแก้ไขปัญหาในพื้นที่วิกฤต (Area-Base) ทั่วทั้งประเทศ โดยมีการพิจารณาในทุกมิติ ทั้งด้านศักยภาพการแก้ไขปัญหา โดยมีผลการศึกษารองรับ รวมถึงด้านเศรษฐกิจ สังคม สิ่งแวดล้อม และการมีส่วนร่วมของภาคประชาชน ซึ่งต่างจากโครงการ 350,000 ล้านบาท ที่มุ่งไปที่โครงการซึ่งมีเป้าหมายเฉพาะลุ่มน้ำเจ้าพระยา และไม่ได้พิจารณาเรื่องความพร้อมของโครงการ โดยเฉพาะผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อมและการมีส่วนร่วมของประชาชน
นอกจากนี้ ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา รัฐบาลได้ออกมาตรการในการรับมือก่อนภัยจะเกิดขึ้นตามฤดูกาล โดยการบูรณาการส่วนราชการ องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ในการเตรียมความพร้อม รวมทั้งกำหนดกรอบแนวทาง มาตรการป้องกันและแก้ไขปัญหาภาวะน้ำท่วมและน้ำแล้ง เช่น การกำหนดมาตรการประจำปีสำหรับรองรับสถานการณ์ขาดแคลนน้ำฤดูแล้ง อาทิ จัดหาแหล่งน้ำสำรองในพื้นที่เสี่ยงขาดแคลนน้ำ การวางแผนเพาะปลูกพืชฤดูแล้ง การสร้างการรับรู้สถานการณ์และแผนบริหารจัดการน้ำเพื่อให้เกิดความร่วมมือในการใช้น้ำอย่างประหยัด เป็นต้น
ส่วนมาตรการสำคัญเพื่อเตรียมความพร้อมรับมือในฤดูฝน อาทิ ซ่อมแซม ปรับปรุงอาคารชลศาสตร์ ระบบระบายน้ำ สถานีโทรมาตร ให้พร้อมใช้งาน ปรับปรุง แก้ไขสิ่งกีดขวางทางน้ำ การขุดลอกคูคลอง และการกำจัดผักตบชวา เป็นต้น ทั้งนี้ นอกจากการดำเนินการในภาวะปกติของหน่วยงาน ยังได้มีการจัดตั้งกองอำนวยการน้ำแห่งชาติ (กอนช.) เพื่อแก้ปัญหาในภาวะวิกฤติควบคู่ไปด้วย เพื่อให้การแก้ไขปัญหาเป็นไปอย่างทันสถานการณ์ สามารถช่วยเหลือและบรรเทาผลกระทบแก่ประชาชนได้อย่างตรงจุด และคลี่คลายสถานการณ์ให้กลับสู่ภาวะปกติได้โดยเร็ว
“จากการดำเนินงานที่ผ่านมาของรัฐบาล ส่งผลให้พื้นที่ประสบปัญหาภัยแล้งลดอย่างต่อเนื่อง โดยจากปี 61 มีปัญหาภัยแล้ง 12,826 หมู่บ้าน 1,199 ตำบล 178 อำเภอ 26 จังหวัด ในขณะที่ปี 63/64 มีปัญหาภัยแล้ง เพียง 296 หมู่บ้าน 45 ตำบล 10 อำเภอ 5 จังหวัด เช่นเดียวกับความเสียหายจากอุทกภัยที่มีจำนวนลดลง โดยจากปี 61 มีประชาชนได้รับผลกระทบ 418,338 ครัวเรือน ในขณะที่ปี 64 ได้รับผลกระทบเพียง 239,776 ครัวเรือน ทั้งนี้ รัฐบาลยังคงดำเนินการแก้ไขปัญหาด้านน้ำอย่างต่อเนื่อง เพื่อสร้างความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สิน รวมถึงพัฒนาคุณภาพชีวิตให้กับประชาชน” เลขาธิการ สทนช. กล่าว