“เฉลิมชัย” ปลื้มบริหารจัดการน้ำฤดูแล้งปี64/65 เป็นไปตามแผน มีน้ำต้นทุนเหลือเกือบ 2 ล้าน ลบ.ม.

  •  
  •  
  •  
  •  

รมว.เกษตรฯ นั่งหัวโต๊ะแถลงเอง ผลการบริหารจัดการน้ำฤดูแล้งปี 2564/65 เผยเป็นไปตามแผน แถมยังส่งน้ำเกินแผนไป 700 ล้าน ลบ.ม. ทำให้เกษตรกรสามารถทำการเพาะปลูกพืชฤดูแล้งได้อีก 1.7 ล้าน ล่าสุดถึงวันเริ่มต้นฤดูฝน 1 พฤษภาคม 2565 ยังมีน้ำต้นทุนอยู่ 19,950 ล้าน ลบ.ม. มากกว่าที่คาดการณ์ไว้ ประกาศพร้อมเดินหน้ารับมือฤดูฝนปี 2565 อย่างเต็มศักยภาพ

       ดร.เฉลิมชัย ศรีอ่อน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เป็นประธานการแถลงข่าว “สรุปการบริหารจัดการน้ำฤดูแล้งปี 2564/65 และเตรียมรับมือฤดูฝน ปี 2565” โดยมีนายประพิศ จันทร์มา อธิบดีกรมชลประทาน นางสาวชมภารี ชมภูรัตน์ อธิบดีกรมอุตุนิยมวิทยา และผู้บริหารกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เข้าร่วมการแถลงข่าว ณ ศูนย์ปฏิบัติการน้ำอัจฉริยะ (SWOC) กรมชลประทาน ถนนสามเสน กรุงเทพมหานคร จากนั้นได้ปล่อยคาราวานเครื่องจักรกลและเครื่องมือต่าง ๆ ที่ประจำอยู่ที่ศูนย์บริหารเครื่องจักรกลที่ 1 – 7 ของสำนักเครื่องจักรกล กรมชลประทาน จำนวนรวม 5,382 หน่วย ผ่านระบบ Video Conference เพื่อเตรียมพร้อมในการช่วยเหลือประชาชนทั่วประเทศตลอดช่วงฤดูฝนนี้

                                                  ดร.เฉลิมชัย ศรีอ่อน   

    ดร.เฉลิมชัย กล่าวว่า กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ โดยกรมชลประทาน ได้บริหารจัดการน้ำฤดูแล้งปี 2564/65 สิ้นสุดลงแล้วเมื่อวันที่ 30 เมษายน 2565 ที่ผ่านมา โดยมีการจัดสรรน้ำเพื่อการอุปโภคบริโภค รักษาระบบนิเวศ การเกษตร รวมไปถึงการควบคุมค่าความเค็มในแม่น้ำสายหลักต่าง ๆ เป็นไปตามแผนที่วางไว้อย่างเพียงพอตลอดฤดูแล้ง โดยปฏิบัติตามมาตรการรองรับสถานการณ์การขาดแคลนน้ำฤดูแล้งปี 2564/65 ทั้ง 8 มาตรการอย่างครบถ้วน อีกทั้งยังมีปริมาณน้ำสำรองน้ำไว้ใช้ในช่วงต้นฤดูฝนปี 2565 ด้วย

        สำหรับการจัดสรรน้ำในภาพรวมทั้งประเทศ พบว่ามีการใช้น้ำไปทั้งสิ้น 23,000 ล้าน ลบ.ม. (แผนจัดสรรน้ำทั้งประเทศจัดสรรไว้รวมทุกกิจกรรม 22,280 ล้าน ลบ.ม. สำรองน้ำต้นฤดูฝน 15,557 ล้าน ลบ.ม.) เกินแผนที่ตั้งไว้เล็กน้อย ด้านผลการเพาะปลูกฤดูแล้งทั้งประเทศ มีการเพาะปลูกรวมกว่า 8.11 ล้านไร่ (จากแผนที่วางไว้ 6.41 ล้านไร่) ทั้งนี้ จะเห็นได้ว่าปีนี้กรมชลประทานส่งน้ำเกินแผนไปประมาณ 700 ล้าน ลบ.ม. ทำให้เกษตรกรสามารถทำการเพาะปลูกพืชฤดูแล้งได้อีก 1.7 ล้านไร่ ซึ่ง 2 – 3 ปีก่อนหน้านี้ ได้ขอความร่วมมือพี่น้องเกษตรกรให้ชะลอการทำนาปรัง เนื่องจากมีปริมาณน้ำไม่เพียงพอ แต่ในฤดูแล้งที่ผ่านมา กรมชลประทานสามารถบริหารจัดการน้ำในช่วงฤดูแล้งตามปริมาณน้ำต้นทุนที่มีอยู่ได้อย่างเต็มศักยภาพ ด้วยการจัดสรรน้ำอย่างประณีต ทำให้พี่น้องเกษตรกรในเขตชลประทานมีรายได้จากการเพาะปลูกพืช

        ส่วนน้ำสำรองต้นฤดูฝนที่คาดการณ์ไว้ว่าจะต้องสำรองประมาณ 15,557 ล้าน ลบ.ม. ปรากฏว่าในวันเริ่มต้นฤดูฝน วันที่ 1 พ.ค. 65 มีน้ำต้นทุนอยู่ 19,950 ล้าน ลบ.ม. มากกว่าที่คาดการณ์ไว้ 4,393 ล้าน ลบ.ม. ถือว่าเป็นกำไร นอกจากนี้ ยังได้ดำเนินโครงการจ้างแรงงานชลประทานเพื่อช่วยเหลือเกษตรกรในช่วงฤดูแล้ง ที่จนถึงขณะนี้มีการจ้างงานไปแล้วกว่า 74,000 คน

        อย่างไรก็ตาม ในส่วนของแผนการจัดสรรน้ำและการเพาะปลูกพืชฤดูฝนปี 2565 กรมชลประทาน ได้วางแผนบริหารจัดการน้ำ โดยส่งเสริมการปลูกพืชฤดูฝนให้ใช้น้ำฝนเป็นหลัก และใช้น้ำชลประทานเสริมกรณีฝนทิ้งช่วงหรือปริมาณฝนตกน้อยกว่าคาดการณ์ของกรมอุตุนิยมวิทยา ที่สำคัญได้วางแผนบริหารจัดการน้ำภายใต้มาตรการรับมือฤดูฝนปี 2565 ทั้ง 13 มาตรการ ตามมติ ครม. เมื่อวันที่ 3 พฤษภาคม 2565 ที่ผ่านมา โดยได้เตรียมการรับมือปัญหาอุทกภัย ด้วยการกำหนดวิเคราะห์พื้นที่เสี่ยงน้ำท่วม ปริมาณน้ำในอ่างเก็บน้ำ ปริมาณน้ำในลำน้ำ กำหนดคน กำหนดผู้รับผิดชอบในพื้นที่ต่าง ๆ ที่อาจจะได้รับผลกระทบ รวมทั้งประสานงานกับหน่วยงานจังหวัด ให้ร่วมกันติดตามและวิเคราะห์หรือคาดการณ์สถานการณ์น้ำในลำน้ำ การจัดสรรทรัพยากร เช่น เครื่องสูบน้ำ เครื่องจักรกล รถขุด รถแทรกเตอร์ หรือเครื่องมือต่าง ๆ ให้พร้อมใช้งานได้ตลอดเวลา

        “กระทรวงเกษตรฯ โดยกรมชลประทาน มีความมุ่งมั่น ตั้งใจ ที่จะบริหารจัดการน้ำอย่างเต็มศักยภาพ เพื่อให้พี่น้องประชาชนและเกษตรกร ได้มีน้ำใช้ในทุกกิจกรรมตลอดทั้งปีตามศักยภาพที่มีอยู่ และสิ่งสำคัญที่มุ่งเน้นนอกเหนือจากการบริหารจัดการน้ำให้เป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพแล้ว ยังมุ่งหวังให้สามารถบรรเทาความเดือดร้อนของพี่น้องประชาชนให้ได้มากที่สุดด้วย ซึ่งปัจจัยสำคัญคือบุคคลากรและเครื่องไม้เครื่องมือที่จะต้องมีความพร้อมตลอดเวลา ทั้งนี้ การดำเนินงานต่าง ๆ ของกรมชลประทานจะสำเร็จไม่ได้เลย หากขาดความร่วมมือร่วมใจจากพี่น้องประชาชน เกษตรกร รวมถึงทุกภาคส่วน ที่ได้ร่วมแรงร่วมใจกันทำให้การบริหารจัดการน้ำสำเร็จตามแผนที่วางไว้ อย่างไรก็ตาม ยังคงมุ่งหวังให้พี่น้องประชาชนใช้น้ำอย่างรู้คุณค่า เพื่อการใช้น้ำได้อย่างยั่งยืนต่อไปในอนาคต” ดร.เฉลิมชัย กล่าว