“นโยบายขับเคลื่อนน้ำมันดีเซล B10 ในขณะนี้ ก็จะต้องเร่งรัด ให้สถานีบริการน้ำมันต้องมีหัวจ่าย B10 ทั้งประเทศในวันที่ 1 มีนาคม 2563 นี้ จากนั้นก็จะมีการประเมินยอดขายของดีเซล B10 ทั้งหมด โดยจะสรุปรวมเพื่อนำมาเป็นฐานข้อมูลวิเคราะห์ให้เห็นถึงผลจากเรื่องของยอดใช้ ก่อนจะขับเคลื่อนให้เป็นไปตามนโยบาย เพื่อต่อยอดในเรื่องของการพยุงราคาผลิตผลปาล์ม และสร้างเสถียรภาพราคาของปาล์มน้ำมันต่อไป”
และแล้วห้วงเวลาแห่งการรอคอย ที่จะเติมน้ำมันไบโอดีเซล B10 ตามนโยบายของน้าสน “สนธิรัตน์ สนธิจิรวงศ์” รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน ที่ประกาศขับเคลื่อนนโยบายส่งเสริม B10 เป็นน้ำมันดีเซลหมุนเร็วเกรดพื้นฐาน ที่กำหนดไว้ว่า ต้นเดือนมีนาคม 2563นี้เป็นต้นหัวจ่ายน้ำมันน้ำมันไบโอดีเซล B10 จะกระจายทุกสถานีน้ำมัน(ปั้มน้ำมัน)ทั่วประเทศไทย
การขับเคลื่อนผลักดันนโยบายน้ำมันดีเซล B10 โดยกระทรวงพลังงาน ตานโยบายที่นายสนธิรัตน์นั้น ได้วางโครงสร้าง ที่เน้นย้ำถึงประโยชน์ของการรักษาเสถียรภาพผลิตผลทางการเกษตร และประโยชน์สูงสุดของเกษตรกร โดยเฉพาะ “ปาล์มน้ำมัน” ซึ่งที่ผ่านมามีราคาผันผวนและเคยต่ำสุดที่ซื้อในพื้นที่เพียง กก.ละ 1.40 บาทเท่านั้น และขึ้นมาพุ่งพรวดไปรายวันจนทะลุเพดาน นิวไฮที่ กก.ละกว่า 7 บาท กลายเป็นที่กังวลของหลายฝ่าย เกี่ยวกับ ผลปาล์มน้ำมัน ที่กำลังออกสู่ตลาด แต่ที่สุด รมว.พลังงานก็เข็นโครงการการตรวจสอบผลปาล์มนอกระบบ จนสามารถกระตุก ราคาปาล์มน้ำมัน ให้ยังคงทรงตัว เป็นไปตามกลไกของการตลาด ในระดับราคาที่เริ่มนิ่ง เและทรงตัวแล้ว ถือว่าเป็นการรักษาสเถียรภาพผ่านนโยบายที่จับต้องได้เป็นรูปธรรม!!
ตามแผนเดิม การขับเคลื่อนนโยบาย B10 ในเดือนมีนาคม 2563 นี้ จะมีหัวจ่ายที่จะกระจายไปทุกสถานีบริการน้ำมันทั่วประเทศ ขับเคลื่อนกลไกการตลาดกระตุ้น “ดีมานด์” ให้ขยับขึ้นหลายเท่าตัว กลายเป็นอีกหนึ่งในกลไก ที่จะช่วยสร้างฐานราคาปาล์ม รองรับผลผลิตปาล์ม และรักษาเส้นทางของราคาปาล์มให้ยังคงดำเนินไปแบบธรรมชาติ ถือเป็นเรื่องของการรักษามาตรฐานราคา ที่ไม่ได้เน้นเพียงให้ขยับขึ้น แต่เน้นให้นิ่ง ให้มีความชัดเจน ก่อนจะเดินหน้านโยบายและมาตรการอื่นๆ ขึ้นมารองรับ เพื่อเป้าหมาย คือการ “รักษาเสถียรภาพราคา” มากกว่าการมุ่งหวังให้ราคาปาล์มขยับขึ้นแต่เพียงอย่างเดียว บนเป้าหมายสูงสุดที่อยู่บนยอดปลายปิรามิด
การสร้างมาตรฐานราคาปาล์ม รวมถึงราคาสินค้าเกษตรพลังงาน ทั้งระบบแบบครบวงจร จะเป็นส่วนสำคัญในการสร้างความยั่งยืน และมั่นคง กับเศรษฐกิจฐานรากของเกษตรกรไทย เกี่ยวกับการขับเคลื่อนนโยบาย B10 ที่จะเป็น “ต้นทาง” และเป็น “โมเดล” ของการสร้างเสถียรภาพราคาผลิตผลทางการเกษตร ที่จะเกิดขึ้นเร็วๆ นี้
นายสนธฺรัตน์ ย้ำเสมอว่า นโยบายขับเคลื่อนน้ำมันดีเซล B10 ในขณะนี้ ก็จะต้องเร่งรัด ให้สถานีบริการน้ำมันต้องมีหัวจ่าย B10 ทั้งประเทศในวันที่ 1 มีนาคม 2563 นี้ จากนั้นก็จะมีการประเมินยอดขายของดีเซล B10 ทั้งหมด โดยจะสรุปรวมเพื่อนำมาเป็นฐานข้อมูลวิเคราะห์ให้เห็นถึงผลจากเรื่องของยอดใช้ ก่อนจะขับเคลื่อนให้เป็นไปตามนโยบาย เพื่อต่อยอดในเรื่องของการพยุงราคาผลิตผลปาล์ม และสร้างเสถียรภาพราคาของปาล์มน้ำมันต่อไป
ไม่เพียงแต่เรื่องของ “นโยบาย B10” ที่จะเริ่มต้นเป็นน้ำมันประเภทแรก ที่พร้อมจะเดินหน้ากับการสร้างเสถียรภาพผลิตผลทางการเกษตรประเภทพปาล์ม แต่ก่อนหน้านี้ มีการประกาศโดยกระทรวงพลังงาน และเป็นแนวนโยบายของ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงานอีกเช่นเดียวกัน กับแนวทางการขับเคลื่อนนโยบาย E20 ที่กำลังจะตามมาติดๆ กับการยกเลิกน้ำมันแก๊ซโซฮอล์ 91 เพื่อให้ประชาชนหันมาใช้น้ำมัน แบบ E20 แทน ซึ่งจะเน้นไปที่การเพิ่มความต้องการน้ำมัน E20 โดยมีสินค้าเกษตรประเภท อ้อย และ มันสำปะหลัง เป็นวัตถุดิบสำคัญ ในกระบวนการผลิต และเป็นพืชเศรษฐกิจสำคัญของเกษตรกรไทย ซึ่งก่อนหน้านี้ก็ประสบปัญหาเกี่ยวกับเสถียรภาพด้านราคา มาเช่นเดียวกับปาล์ม
สองนโยบายสำคัญ คือทั้ง B10 และ E20 จากกระทรวงพลังงาน จึงเป็นแนวทางสำคัญของการสร้างเสถียรภาพสินค้าเกษตร โดยเฉพาะพืชพลังงานของไทย โดยกระทรวงพลังงาน ซึ่งนับได้ว่า เป็นแนวคิด และเป็นเส้นทาง ที่มีความชัดเจนในเชิงนโยบาย ก่อนจะนำไปสู่ การสร้างรากฐานความสอดคล้องระหว่าง ตัวเลขผลผลิต และ ตัวเลขของความต้องการทางด้านการตลาด ซึ่งเป็นจุดเริ่มต้นของการสร้างเสถียรภาพของราคาผลิตผล ตามแผนตามนโยบาย
การเริ่มต้นของการเตรียมความพร้อมเกี่ยวกับหัวจ่ายน้ำมัน ดีเซล B10 ทั่วประเทศที่กำลังจะมาถึง จึงเป็นที่น่าจับตาเป็นอย่างยิ่ง ซึ่งหากประสบควาสำเร็จ ตามที่กระทรวงพลังงานได้คาดหวังไว้ ก็เป็นไปได้ที่นโยบายอื่นๆ ทั้ง E20 จะเดินไปในทิศทางเดียวกัน ซึ่งการขับเคลื่อนนโยบายสำคัญทั้ง B10 และ E20 ในครั้งนี้ เป็นข่าวดี และเป็นทั้ง ความหวังของเกษตรกรพืชพลังงานของไทย กับ มาตรฐานด้านราคาผลผลิตที่เห็นภาพ เห็นผล ซึ่งนโยบายที่ชัดเจน และความคาดหวังนี้ เป็นสิ่งที่เกษตรกรน่าจะรอคอยมายาวนานหลายปี
ฉะนั้น 1 มีนาคม นี้ กับการคิกออฟ เริ่มต้นหัวจ่ายน้ำมัน B10 ทั่วประเทศ และการวิเคราะห์ประเมินผลเชิงรวมถึงทิศทางการปรับตัวหันมาใช้น้ำมันของประชาชน นับได้ว่าเป็นตัวบ่งชี้สำคัญ ถึงอนาคตของพืชพลังงานไทย และอนาคตของเกษตรกรพืชพลังงานไทย ทั้งเกษตรกรปาล์ม เกษตรกร อ้อย และมันสำปะหลัง เชื่อได้ว่าหลายคนคงรอคอย และจับตามองอย่างใกล้ชิด และคงต้องช่วยเป็นกำลังใจให้กระทรวงพลังงาน โดยเฉพาะรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน ขับเคลื่อนเดินหน้าสองนโยบายสำคัญนี้ให้ประสบความสำเร็จ
ถือเป็นการสร้างมิติใหม่แห่งวงการเกษตรไทย สร้างเศรษฐกิจฐานรากให้เกษตรกรไทย สร้างความมั่นคง มั่งคั่ง อย่างยั่งยืนตรงตามแผนยุทธศาสตร์ของรัฐบาลนี้ที่เป็นรูปธรรมชัดเจน