คกนช.เห็นชอบ 4 เรื่อง พัฒนาแหล่งน้ำครั้งใหญ่ของประเทศไทย

  •  
  •  
  •  
  •  

กนช.เห็นชอบ 4 เรื่อง ขับเคลื่อนพัฒนาแหล่งน้ำครั้งใหญ่ ตามแผนปฏิบัติการภายใต้แผนแม่บทการบริหารจัดการทรัพยากรน้ำ 20 ปี ทั้งแผนปฏิบัติการภายใต้แผนแม่บทการบริหารจัดการทรัพยากรน้ำ 20 ปี, แผนงานโครงการขนาดใหญ่และโครงการสำคัญ จำนวน 3 โครงการ,พิจารณากรอบแนวทางเพื่อการกำหนดหลักเกณฑ์การใช้สอยทรัพยากรน้ำสาธารณะของหน่วยงานของรัฐหรือองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น,ร่างคำสั่งแต่งตั้งคณะอนุกรรมการทรัพยากรน้ำจังหวัด สิ้นสุดโครงการ ปี 2580 ขณะที่พื้นที่เสี่ยงขาดแคลนน้ำด้านการเกษตรนอกเขตชลประทาน คาดว่าจะมีความเสี่ยงรุนแรงกว่า 30 จังหวัด ในพื้นที่ 0.37 ล้านไร่

        ดร.สมเกียรติ ประจำวงษ์ เลขาธิการสำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติ (สทนช.) เปิดเผยว่า ที่ประชุมประชุมคณะกรรมการทรัพยากรน้ำแห่งชาติ(กนช.)ที่มี พลเอก ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี เป็นประธาน ซึ่งมีพลเอก อนุพงษ์ เผ่าจินดา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย    นายวราวุธ ศิลปอาชา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องด้านน้ำร่วมประชุมด้วย เมื่อวันที่ 20 ธันวาคม 2562 ที่ประชุมมีมติเห็นชอบ 4 เรื่อง ได้แก่

        เรื่องที่ 1 แผนปฏิบัติการภายใต้แผนแม่บทการบริหารจัดการทรัพยากรน้ำ 20 ปี ของ 2 หน่วยงาน ประกอบด้วย  แผนปฏิบัติการด้านการจัดการน้ำเสียชุมชนระยะ 20 ปี (พ.ศ.2561-2580) ขององค์การจัดการน้ำเสีย โดยมีแผนปฏิบัติการปี 2564-2580 ที่ส่งเสริมให้มีการจัดสร้างระบบรวบรวมและบำบัดน้ำเสียชุมชนในเขตพื้นที่เทศบาล องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น และแหล่งท่องเที่ยวที่สำคัญ รวมระบบบำบัดน้ำเสียที่จะก่อสร้าง 780 แห่ง สามารถบำบัดน้ำเสียได้ 1.70 ล้าน ลบ.ม.ต่อวัน และ โครงการเพื่อการพัฒนา ปี 2562 และ ปี 2563 ของการประปาส่วนภูมิภาค เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพของระบบผลิต ระบบส่งน้ำ และระบบจ่ายน้ำประปาในพื้นที่ที่ประสบปัญหา ให้สามารถบริการน้ำประปาแก่ประชาชนได้เพิ่มขึ้นในอีก 10 ปีข้างหน้าอย่างพอเพียง รวม 14 โครงการ สามารถเพิ่มกำลังการผลิตขึ้นอีก 513,960 ลบ.ม./วัน และสามารถให้บริการผู้ใช้น้ำเพิ่มขึ้นอีก 453,583 ราย

        เรื่องที่ 2 แผนงานโครงการขนาดใหญ่และโครงการสำคัญ จำนวน 3 โครงการ ประกอบด้วย โครงการพัฒนาแหล่งน้ำและการจัดการทรัพยากรน้ำรองรับเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (ปี 2563-2580) โดย สทนช. ได้ศึกษาทบทวนความเพียงพอของการพัฒนาและจัดทำแผนหลักเพื่อรองรับการพัฒนาในระยะ 10 ปี และ 20 ปี พบว่า ความต้องการใช้น้ำจะเพิ่มขึ้นจากปี 2560–2580 รวม 670 ล้าน ลบ.ม./ปี โดยในแผนการดำเนินการประกอบด้วย แผนงานพัฒนาแหล่งน้ำต้นทุน ปี 2563-2570 รวมทั้งสิ้น 38 โครงการ เพิ่มปริมาณน้ำต้นทุนได้ 872.19 ล้าน ลบ.ม.,แผนการบริหารจัดการด้านความต้องการใช้น้ำ ปี 2563-2580 จำนวน 9 โครงการ/มาตรการ,แผนการป้องกันและบรรเทาอุทกภัย ปี 2563–2580 จำนวน 25 โครงการ ,แผนการจัดการคุณภาพน้ำ ปี 2563–2580 จำนวน 33 โครงการ, และมาตรการอื่นๆ

       ทั้งนี้เพื่อแก้ไขปัญหาขาดแคลนน้ำ ปี 2563-2580 จำนวน 3 โครงการ คือแผนหลักการพัฒนาหนองหาร จ.สกลนคร รวมทั้งสิ้น 65 โครงการ ครอบคลุมการพัฒนา 10 ปี (พ.ศ. 2563-2572) กรอบวงเงิน 7,445 ล้านบาท โดยมีแผนงานระยะเร่งด่วน ปี 63-65 จำนวน 34 โครงการ กรอบวงเงิน 1,842 ล้านบาท และ เป้าหมายแผนงานโครงการขนาดใหญ่และโครงการสำคัญเพิ่มเติมจำนวน  11 โครงการ แบ่งเป็น 5 ประเภท การผันน้ำระหว่างลุ่มน้ำหลัก 1 โครงการ บริหารจัดการพื้นที่ลุ่มต่ำน้ำนอง 3 โครงการ แผนหลักการพัฒนาบึงและหนองน้ำธรรมชาติขนาดใหญ่ 3 โครงการ การบรรเทาอุทกภัยเมืองสำคัญ 3 โครงการ และจัดหาแหล่งน้ำรองรับพื้นที่เศรษฐกิจและแหล่งท่องเที่ยว 1 โครงการ

       เรื่องที่ 3 พิจารณากรอบแนวทางเพื่อการกำหนดหลักเกณฑ์การใช้สอยทรัพยากรน้ำสาธารณะของหน่วยงานของรัฐหรือองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น (มาตรา 6 วรรคสาม) ประกอบด้วย ด้านการจัดทำแผนและติดตามผล ข้อ 1 ให้มีแผนงานการใช้ การพัฒนา การบริหารจัดการ การบำรุงรักษา การฟื้นฟู และการอนุรักษ์ทรัพยากรน้ำสาธารณะ ข้อ 2 ให้ประสานหน่วยงานของรัฐ หรือองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นที่เกี่ยวข้อง เพื่อร่วมกันบริหารจัดการและใช้สอยทรัพยากรน้ำสาธารณะสำหรับกิจกรรมประเภทต่าง ๆ ข้อ 3 ให้มีการติดตามและรายงานผลการดำเนินการ ปัญหาอุปสรรค ข้อเสนอแนวทางการแก้ไขปัญหาและผลดีหรือผลกระทบในการดำเนินการตามแผนงานดังกล่าวต่อคณะกรรมการลุ่มน้ำอย่างน้อยปีละ 1 ครั้ง และด้านการจัดทำมาตรการและควบคุมดูแล

        ข้อ 4 ให้มีมาตรการในการควบคุมดูแลทรัพยากรน้ำสาธารณะเพื่อป้องกันหรือแก้ไขปัญหาการบุกรุก การกระทำอื่นใดอันจะก่อให้เกิดอันตรายหรือความเสียหายต่อทรัพยากรน้ำสาธารณะ 5 ให้มีการควบคุมดูแลทรัพยากรธรรมชาติ ระบบนิเวศ หรือความหลากหลายทางชีวภาพ ในบริเวณพื้นที่แหล่งทรัพยากรน้ำสาธารณะนั้น  โดยภายหลังจากที่ประชุมเห็นชอบแล้ว สทนช.จะได้นำไปจัดทำร่างประกาศคณะกรรมการทรัพยากรน้ำแห่งชาติ (กนช.) เสนอประธาน กนช. พิจารณาลงนามและนำมาเป็นกรอบแนวทางการดำเนินการต่อไป

         เรื่องสุดท้าย ร่างคำสั่งแต่งตั้งคณะอนุกรรมการทรัพยากรน้ำจังหวัด เพื่อให้เกิดการขับเคลื่อนการมีส่วนร่วม การบูรณาการระหว่างหน่วยงานจังหวัด โดยได้คัดเลือกจังหวัดนำร่อง เพื่อดำเนินการจัดตั้งคณะอนุกรรมการทรัพยากรน้ำจังหวัด ซึ่งในปี 2563 สามารถดำเนินการได้จำนวน 40 จังหวัด และที่เหลืออีก 36 จังหวัดจะดำเนินการในปี 2564 โดยมีโครงสร้างองค์ประกอบและอำนาจหน้าที่คณะอนุกรรมการทรัพยากรน้ำจังหวัด  มีผู้ว่าราชการจังหวัดเป็นประธานอนุกรรมการ มีรองผู้ว่าราชการจังหวัดที่ผู้ว่าราชการจังหวัดมอบหมาย และผู้อำนวยการรักษาความมั่นคงภายในจังหวัด เป็นรองประธาน มีหัวหน้าสำนักงานจังหวัดเป็นเลขานุการร่วม (เจ้าภาพ) มี สทนช. และ ปภ. จังหวัด เป็นเลขานุการร่วม องค์กรผู้ใช้น้ำ จำนวน 3 คน และผู้แทนหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เป็นกรรมการ ซึ่งมีหน้าที่และอำนาจในการจัดทำแผนงาน แผนปฏิบัติการ และแผนงานงบประมาณการบริหารจัดการทรัพยากรน้ำตามกรอบแผนแม่บทระดับลุ่มน้ำ บูรณาการและขับเคลื่อนแผนบริหารจัดการทรัพยากรน้ำในระดับจังหวัดทั้งในภาวะปกติและภาวะวิกฤต บูรณาการข้อมูลและสารสนเทศทรัพยากรน้ำ และติดตาม ประเมินผล การดำเนินงานตามแผนการบริหารจัดการทรัพยากรน้ำ และรายงานต่อ กนช.

นอกจากนี้ทาง สทนช.ได้รายงานถึงพื้นที่เสี่ยงขาดแคลนน้ำด้านการเกษตรนอกเขตชลประทาน ที่คาดว่าจะมีพื้นที่เสี่ยงรุนแรงกว่า 30 จังหวัด 0.37 ล้านไร่ กรมทรัพยากรน้ำและกรมทรัพยากรน้ำบาดาลเตรียมแผนรับมือโดยเร่งจัดหาแหล่งน้ำสนับสนุน ทั้งการขุดบ่อบาดาลและหาแหล่งน้ำผิวดิน เพื่อลดความรุนแรงของไม้ผลที่อาจยืนต้นตายได้ นอกจากนี้ยังได้เตรียมความพร้อมด้านเครื่องจักรเครื่องมือทั้งประเทศรวม 4,192 เครื่อง และจัดเจ้าหน้าที่พร้อมให้การช่วยเหลือได้ทันทีที่ประชาชนร้องขอ ส่วนสถานการณ์แม่น้ำโขงที่ลดลง เตรียมเสนอขอความร่วมมือจากสาธารณรัฐประชาชนจีน ในการขอน้ำเพิ่มในฤดูแล้งเป็นกรณีพิเศษ และให้วางมาตรการแม่น้ำโขงให้ชัดเจนเพื่อการบริหารจัดการน้ำในอนาคตด้วย โดยขอความร่วมมือเกษตรกรและประชาชนช่วยกันใช้น้ำอย่างประหยัดและรู้คุณค่า เพื่อจะได้มีน้ำใช้อย่างเพียงพอในทุกกิจกรรมตลอดช่วงแล้งนี้