สทนช. จับมือ สผ. หารือเชิงนโยบาย มุ่งจัดการน้ำยั่งยืนภายใต้ภาวะโลกร้อน ผ่านการบูรณาการการบริหารทรัพยากรน้ำ และการตั้งรับปรับตัวรองรับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ พร้อมผลักดันผ่านโครงการน้ำขนาดใหญ่ การบริหารน้ำโขง เพื่อขับเคลื่อนลงสู่ระดับลุ่มน้ำ และชุมชนสู่การปฏิบัติที่เป็นรูปธรรม
ดร.สมเกียรติ ประจำวงษ์ เลขาธิการสำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติ (สทนช.) เปิดเผยภายหลังการประชุมหารือเชิงนโยบาย การบูรณาการการบริหารทรัพยากรน้ำและการตั้งรับปรับตัวรองรับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ซึ่งเป็นประธานร่วมกับ ดร.รวีวรรณ ภูริเดช เลขาธิการสำนักงานนโยบายและแผนทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (สผ.) และ คุณสเตฟาน ฮุปเพิทซ์ ผู้อำนวยการโครงการด้านน้ำ ภายใต้แผนงานความร่วมมือด้านการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศระหว่างรัฐบาลไทย-เยอรมนี จากองค์กรความร่วมมือระหว่างประเทศของเยอรมัน (GIZ) ว่า การประชุมครั้งนี้เป็นการหารือร่วมกันระหว่าง สทนช. กับ สผ. ซึ่งเป็นหน่วยงานระดับนโยบาย และได้มีการลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือ (MOU) ทางวิชาการ เพื่อการบริหารทรัพยากรน้ำอย่างบูรณาการภายใต้การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ เมื่อวันที่ 25 ตุลาคม 2561 ที่ผ่านมา
พร้อมกันนี้ GIZ ซึ่งได้มีการดำเนินงานร่วมกัน ภายใต้แผนงานความร่วมมือด้านการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศไทย-เยอรมัน (TGCP) เพื่อรับฟังและแลกเปลี่ยนความคิดเห็น หาแนวทางการบูรณาการในการบรรลุเป้าหมายการพัฒนาทรัพยากรน้ำอย่างยั่งยืน ภายใต้การเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศ ซึ่งเป็นประเด็นที่ต้องให้ความสำคัญอย่างเร่งด่วน
ดร.สมเกียรติ กล่าวอีกว่า ปัจจุบัน การเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศคือปัญหาสำคัญที่ทุกประเทศทั่วโลก เนื่องจากมีผลกระทบที่เกิดขึ้นอย่างรุนแรงและหลากหลาย โดยเฉพาะในประเทศไทยที่ภาคส่วนของน้ำที่ได้รับผลกระทบอย่างมาก เช่น ก่อให้เกิดอุทกภัย ภัยแล้ง การเพิ่มขึ้นของระดับน้ำทะเล และการเปลี่ยนแปลงของการกระจายของฝน ฯลฯ ดังนั้น สทนช. ในฐานะหน่วยงานกลางด้านบริหารจัดการน้ำ และยังเป็นหน่วยงานหลักในการดำเนินงานสาขาด้านน้ำตามแผนงาน TGCP รวมถึงได้รับการแต่งตั้งเป็นกรรมการภายใต้คณะกรรมการนโยบายการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศแห่งชาติ เล็งเห็นความจำเป็นในการพิจารณาประเด็นความเปราะบาง ความอ่อนไหวและความเสี่ยงของการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ เข้ากับการวางนโยบาย แผนงาน และกิจกรรมด้านบริหารทรัพยากรน้ำ
“ที่ประชุมได้หารือ ในประเด็นนโยบายยุทธศาสตร์การตั้งรับ ปรับตัวรองรับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ โดยประยุกต์มาตรการการปรับตัวแบบอาศัยระบบนิเวศ (EbA) กับโครงการด้านน้ำที่เหมาะสมกับบริบทสภาพแวดล้อมของประเทศไทย เพื่อสร้างภูมิคุ้มกันให้เกิดความเข้มแข็ง ทั้งในภาคส่วนน้ำและภาคส่วนอื่น ๆ อาทิ ภาคการเกษตร ภาคสุขาภิบาลและอนามัย ทั้งสองหน่วยงาน ให้ความสำคัญต่อการเชื่อมโยงและบูรณาการแผนในระดับพื้นที่ เพื่อนำไปสู่การปฏิบัติ โดยขับเคลื่อนการบูรณาการลงสู่ระดับลุ่มน้ำ ผ่านคณะกรรมการลุ่มน้ำ ลงไปสู่ระดับชุมชนอย่างเป็นระบบ ซึ่ง สทนช. ในฐานะเลขานุการคณะกรรมการลุ่มน้ำจะช่วยให้การผลักดันมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น
นอกจากนี้ ยังเตรียมพร้อมผลักดันการบูรณาการเรื่องการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศสู่ภาคส่วนน้ำ ผ่านการวางโครงการขนาดใหญ่ การบริหารจัดการลุ่มน้ำโขงตอนล่าง และประเด็นคาบเกี่ยว (Cross-Cutting Issues) ที่เชื่อมโยงกับเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน (SDGs) โดย สทนช. และ สผ. จะบูรณาการการทำงานภายใต้กรอบ MOU รวมถึงจะมีการจัดทำข้อเสนอแนะเชิงนโยบายร่วมกัน ซึ่ง สผ. พร้อมที่จะให้การสนับสนุน สทนช. อย่างเต็มที่ ทั้งด้านการประสานงานและด้านวิชาการ เพื่อการบริหารจัดการทรัพยากรน้ำของประเทศที่เหมาะสม ทันต่อสถานการณ์ และมุ่งสู่ความยั่งยืนต่อไปในอนาคต