ศ.ดร.นฤมล ภิญโญสินวัฒน์
กระทรวงเกษตรฯ กางแผนการดำเนินงานใน 2568 ก้าวต่อไปเพื่อเกษตรกร ยังสานต่อ 9 นโยบายสำคัญ เน้นจับมือกับทุกภาคส่วนเกี่ยวข้องขับเคลื่อนภาคเกษตรตามแนวคิด “ตลาดนำ นวัตกรรมเสริม เพิ่มรายได้” เผยนโยบายพิทักษ์รักษาไว้ซึ่งสถาบันพระมหากษัตริย์ เน้นถ่ายทอดองค์ความรู้ พัฒนาตามแนวทางเศรษฐกิจพอเพียงเป้าหมาย 580,000 ราย บนพื้นที่สูงส่งเสริมการดำเนินงานอันเนื่องมาจากพระราชดำริแก่เกษตรกร เป้าหมาย 105,964 ราย นโยบายเร่งด่วนจะปรับโครงสร้างหนี้ทั้งระบบ ขณะที่นโยบายระยะกลางและระยะยาว จะเพิ่มประสิทธิภาพการบริหารจัดการที่ดินของรัฐ จัดที่ดินเพื่อเกษตรกรรม 37,000 ราย ปรับสิทธิ ส.ป.ก. 4-01 เป็นโฉนดเพื่อการเกษตรอีก 1,066,643 แปลง 22 ล้านไร่
ศ.ดร.นฤมล ภิญโญสินวัฒน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ แถลงผลการดำเนินงานกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ปี 2567 (มกราคม – ธันวาคม 2567) และแผนงานสำคัญปี 2568 ในงาน “1 ปีจุดพลังเกษตรไทย 2568 ก้าวต่อไปเพื่อเกษตรกร” โดยมี นายอิทธิ ศิริลัทธยากร รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ นายประยูร อินสกุล ปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ผู้บริหารระดับสูงทุกหน่วยงานในสังกัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เข้าร่วม ณ ห้อง 115 กระทรวงเกษตรและสหกรณ์
ศ.ดร.นฤมล กล่าวถึงแผนงานสำคัญปี 2568 ว่า ครอบครัวกระทรวงเกษตรฯ โดยทุกหน่วยงานทั้งในส่วนกลางและระดับพื้นที่ จะยังคงสานต่อ 9 นโยบายสำคัญของกระทรวงเกษตรฯ และพร้อมจับมือกับทุกภาคส่วนเกี่ยวข้องขับเคลื่อนภาคเกษตรของประเทศอย่างต่อเนื่อง ด้วยแนวคิด “ตลาดนำ นวัตกรรมเสริม เพิ่มรายได้” ยกระดับการทำเกษตรแบบดั้งเดิมให้เป็นเกษตรทันสมัย มุ่งเน้นเทคโนโลยีด้านการเกษตร เช่น เกษตรแม่นยำ หรือเกษตรอัจฉริยะ มาใช้พัฒนาอาชีพด้านการเกษตร ประมง ปศุสัตว์ และอาชีพที่เกี่ยวเนื่อง การจัดการที่ดินทำดินให้เกษตรกร และการบริหารจัดการน้ำ ดึงจุดเด่นของประเทศไทยเพื่อตอบสนองความต้องการของโลกด้านความมั่นคงทางอาหาร เร่งเพิ่มมูลค่าสินค้าเกษตรและราคาพืชผลการเกษตร รวมทั้งยกระดับรายได้ของเกษตรกรโดยมีภารกิจสำคัญ ครอบคลุมนโยบายต่างๆ ที่สำคัญของรัฐบาลและของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ประกอบด้วย
นโยบายพิทักษ์รักษาไว้ซึ่งสถาบันพระมหากษัตริย์ ถ่ายทอดองค์ความรู้ พัฒนาตามแนวทางเศรษฐกิจพอเพียงแก่ประชาชน เป้าหมาย 580,000 ราย พัฒนาพื้นที่สูงอย่างยั่งยืน (โครงการหลวง และการพัฒนาพื้นที่สูงแบบโครงการหลวง) 87,700 ราย รวมทั้งส่งเสริมการดำเนินงาน อันเนื่องมาจากพระราชดำริแก่เกษตรกร เป้าหมาย 105,964 ราย
นโยบายเร่งด่วน เดินหน้าปรับโครงสร้างหนี้ทั้งระบบ จัดการหนี้ให้สมาชิกกองทุนฟื้นฟูและพัฒนาเกษตรกร 1,100 ราย และส่งเสริมสนับสนุนการฟื้นฟูและพัฒนาอาชีพ 1,065 องค์กร ส่งเสริมสหกรณ์และกลุ่มเกษตรกร ให้มีการบริหารจัดการสินเชื่อที่มีประสิทธิภาพและเสริมสร้างรายได้ให้แก่สมาชิก 700 แห่ง ลดต้นทุน เพิ่มผลผลิต เช่น พัฒนาพื้นที่ผ่านระบบส่งเสริมเกษตรแบบแปลงใหญ่ 3,295 แปลง เพิ่มประสิทธิภาพและพัฒนาสินค้าเกษตร อาทิ ผลิตและขยายพืชพันธุ์ดี 3,000,000 ต้น ผลิตและกระจายเมล็ดพันธุ์ข้าวพันธุ์ดี 255,070 ตัน ปรับปรุงพันธ์สัตว์น้ำเศรษฐกิจ 616 ล้านตัว พัฒนาปรับปรุงพันธุ์สัตว์ 883,700 ตัว
การบริหารจัดการพื้นที่เกษตรกรรมอย่างเหมาะสม โดยปรับเปลี่ยนการผลิตในพื้นที่ที่ไม่เหมาะสมมาผลิตพืชชนิดใหม่ที่เหมาะสมตามแผนที่ Agri-Map 61,625 ไร่ การสร้างมูลค่าเพิ่ม ส่งเสริมเกษตรอัตลักษณ์พื้นถิ่น ผลิตผ้าไหมตรานกยูงพระราชทาน 240,000 เมตร พัฒนาผลิตภัณฑ์ข้าว 3 ผลิตภัณฑ์ ปศุสัตว์ 4 ผลิตภัณฑ์ ประมง 2 ชนิด ส่งเสริมเกษตรอินทรีย์ ข้าว 10,000 ไร่ ประมง 650 ราย ปศุสัตว์ 200 ไร่ 60 ราย รับรองแบบมีส่วนร่วม 10,000 ไร่ ส่งเสริมเกษตรทฤษฎีใหม่ 32,500 ราย ส่งเสริมเกษตรผสมผสาน 800 ราย ส่งเสริมเกษตรปลอดภัย ตามมาตรฐาน GAP ด้านพืช 150,000 แปลง หม่อน 600 แปลง ประมง 15,361 แห่ง ปศุสัตว์ 12,974 แห่ง และ GMP ด้านพืช 600 โรงงาน ประมง 1,644 แห่ง ปศุสัตว์ 312 แห่ง ฮาลาล 245 แห่ง ตรวจวิเคราะห์คุณภาพสินค้า ด้านพืช 150,000 ตัวอย่าง ผ้าไหม 12 ตัน ประมง 51,400 ตัวอย่าง ปศุสัตว์ 310,312 ตัวอย่าง บังคับใช้มาตรฐานบังคับ 1 กลุ่มสินค้า
ส่งเสริมด้านการตลาดสินค้าเกษตร เช่น โครงการส่งเสริมตลาดผู้บริโภคผลไม้ไทย เพื่อช่วยเหลือเกษตรกร สมาชิกวิสาหกิจชุมชน และสมาชิกสถาบันเกษตรกร ผู้ปลูกผลไม้ และผลิตสินค้าผลไม้แปรรูป ได้ไม่น้อยกว่า 8,000 ราย คาดว่ามูลค่าการจำหน่ายได้ไม่น้อยกว่า 50 ล้านบาท ในไม้ผลเศรษฐกิจหลัก 7 ชนิด ได้แก่ ทุเรียน มังคุด เงาะ ลองกอง มะม่วง ลิ้นจี่ และ ลำไย ที่เกษตรกร วิสาหกิจชุมชน และสถาบันเกษตรกรนำมาจำหน่ายในกิจกรรมมีมูลค่าเพิ่มขึ้นร้อยละ 15 จากมูลค่าจำหน่ายหน้าสวน โครงการพัฒนาธุรกิจสินค้าเกษตรสู่ตลาดในประเทศ และต่างประเทศ สร้างความรับรู้ถึงคุณภาพ มาตรฐานที่เป็นอัตลักษณ์ของสินค้าเกษตรเศรษฐกิจมูลค่าสูงของไทย กระตุ้นการเติบโตทางเศรษฐกิจจากการส่งออกสินค้าเกษตรเมืองร้อนมูลค่าสูง ซึ่งคาดว่า มีผู้เข้าร่วมจัดงานและผู้เข้าร่วมชมงานไม่น้อยกว่า 1.4 ล้านคน เกิดการเจรจาธุรกิจไม่น้อยกว่า 7 ราย
การพัฒนาและส่งเสริมความเข้มแข็งของเกษตรกร/สถาบันเกษตรกร เช่น ผลักดันนโยบายการอำนวยความสะดวกด้านการเกษตร ส่งเสริมให้เกษตรกรและสถาบันเกษตรกรให้เป็นผู้ให้บริการทางการเกษตรครบวงจร (Agricultural Service Provider) เตรียมรับขึ้นทะเบียนเกษตรกรเกี่ยวกับการประกอบกิจการด้านการเกษตร ซึ่งขณะนี้อยู่ระหว่างการพัฒนาระบบลงทะเบียนให้เกษตรกร และจัดทำคู่มือ โดยคาดว่าจะสามารถดำเนินการได้ทันฤดูกาลผลิตหน้าที่จะถึงนี้ ทั้งนี้ หน่วยงานภายใต้สังกัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ที่มีหน้าที่รับผิดชอบตามบทบาทภารกิจของหน่วยงาน ได้มีการจัดเก็บข้อมูลดังกล่าวในปี 2567 โดยมีเกษตรกรแจ้งขึ้นทะเบียนเครื่องจักรกลทางการเกษตรแล้ว ซึ่งเกษตรกรกลุ่มนี้จะสามารถมาปรับปรุงทะเบียนประกอบกิจการด้านการเกษตรให้เป็นปัจจุบันได้ต่อไป ตลอดจนการส่งเสริมการท่องเที่ยวเชิงเกษตร ที่สำคัญๆ อาทิ ด้านหม่อนไหม 10 แห่ง และประชาสัมพันธ์การจัดการมหกรรมพืชสวนโลกจังหวัดอุดรธานี พ.ศ. 2569
โยบายระยะกลางและระยะยาว ได้แก่ เพิ่มประสิทธิภาพการบริหารจัดการที่ดินของรัฐ จัดที่ดินเพื่อเกษตรกรรม จัดที่ดินทำกินแก่เกษตรกร 37,000 ราย ปรับปรุงหนังสืออนุญาตให้เข้าทำประโยชน์ในเขตปฏิรูปที่ดิน(ส.ป.ก. 4-01) เป็นโฉนดเพื่อการเกษตร 1,066,643 แปลง ในพื้นที่ 22 ล้านไร่เพื่อให้เกษตรกรสามารถนำโฉนดเพื่อการเกษตรไปต่อยอดให้เข้าถึงแหล่งเงินทุนเพื่อสร้างคุณภาพชีวิต ยกระดับการบริหารจัดการน้ำ ก่อสร้างชลประทานขนาดใหญ่ 15 แห่ง ปริมาตรกักเก็บน้ำเพิ่มขึ้น 25.20 ล้าน ลบ.ม. พื้นที่ชลประทานเพิ่มขึ้น 45,055 ไร่ การก่อสร้างแหล่งน้ำในไร่นานอกเขตชลประทาน โดยขุดสระเก็บน้ำประจำไร่นาขนาด 1,260 ลบ.ม. 23,000 บ่อ
จัดทำข้อมูลเพื่อการบริหารจัดการทางการเกษตร ขึ้นทะเบียนและปรับปรุงทะเบียนเกษตรกร ด้านเพาะปลูกหรือกิจกรรมทางการเกษตร 6,000,000 ครัวเรือน ด้านปศุสัตว์ 2,720,000 ราย ด้านการประมง 357,200 ราย
การอำนวยการบริหารจัดการด้านการเกษตร อาทิ พัฒนาและสร้างระบบประกันภัยให้เกษตรกร ขับเคลื่อนโครงการประกันภัยข้าวนาปี ข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ ต่อเนื่อง และเตรียมขยายผลไปยังมันสำปะหลัง ตลอดจนศึกษารูปแบบการประกันภัย เพื่อขยายผลให้ครอบคลุมพืชเศรษฐกิจให้มากขึ้น ควบคุมและตรวจสอบการนำเข้าส่งออกสินค้าเกษตร ด้านปศุสัตว์ 5,664 ครั้ง และด้านประมง 51,035 ครั้ง รวมทั้ง เฝ้าระวัง ตรวจวิเคราะห์ ด้านปศุสัตว์ 239,123 ตัวอย่าง และด้านประมง 45,500 ตัวอย่าง