บัญชา สุขแก้ว
กรมประมง นำไทยทุบสถิติส่งออกสินค้าประมงในรอบ 10 ปี นับตั้งแต่ปี 2557 เผยดีดตัวเพิ่มขึ้นในช่วง 3 ปีหลัง โชว์ตัวเลขส่งออกในปี 2567 มูลค่าถึง 240,062 ล้านบาท ระบุเป็นสถิติการส่งออกสินค้าประมงที่สูงสุดในรอบทศวรรษที่ผ่านมา สามารถตอบโจทย์นโยบาย “ตลาดนำ นวัตกรรมเสริม เพิ่มรายได้” ของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ได้เป็นอย่างดี มั่นใจในปี 2568 มีแนวโน้มการส่งออกสินค้าประมงของไทยยังคงสดใส
นายบัญชา สุขแก้ว อธิบดีกรมประมง เปิดเผยว่า ปี 2567 นับเป็นปีที่สินค้าประมงทำรายได้สูงสุดในรอบ 10 ปี ถึงแม้ว่าภาวะเศรษฐกิจโลกจะอยู่ในช่วงชะลอตัว แต่สินค้าประมงของไทยยังสามารถเดินหน้าสร้างมูลค่าการส่งออกได้ถึง 240,062 ล้านบาท ซึ่งสูงขึ้นจากปี 2565 และ 2566 ที่ทำมูลค่า 229,123 ล้านบาท และ 211,286 ล้านบาท ตามลำดับ และยังมากกว่าปี 2557 ที่เคยทำมูลค่าไว้สูงถึง 227,860 ล้านบาท โดยปัจจัยหลักที่เป็นแรงหนุนให้เกิดการขยายตัวส่งออกเพิ่มขึ้นนั้นเป็นผลมาจากการส่งออกสินค้าประมงแปรรูปได้มากขึ้น
โดยเฉพาะกลุ่มทูน่ากระป๋อง ซึ่งช่วงเดือนมกราคม – ธันวาคม 2567 มีปริมาณการส่งออก 548,653 ตัน มูลค่า 82,250 ล้านบาท มีปริมาณและมูลค่าเพิ่มขึ้นร้อยละ 32 และร้อยละ 34 เมื่อเปรียบเทียบกับปี 2566 นอกจากนี้ ยังมีในกลุ่มของ อาหารกระป๋องสำหรับสุนัขและแมว ซึ่งถือเป็นกลุ่มสินค้าประมงที่ขยายตัวมากที่สุดในขณะนี้ โดยมีปริมาณส่งออก 174,793 ตัน มูลค่า 27,751 ล้านบาท ปริมาณและมูลค่าเพิ่มขึ้นร้อยละ 51 และร้อยละ 62 เมื่อเปรียบเทียบกับปี 2566 โดยทั้งสองกลุ่มสินค้าดังกล่าวนับเป็นกลุ่มที่มีปริมาณการส่งออกที่มากที่สุดเป็นประวัติการณ์
ส่วนสินค้ากุ้งและผลิตภัณฑ์ มีการส่งออกทั้งปีปริมาณ 136,774 ตัน มูลค่า 43,325 ล้านบาท ปริมาณลดลงร้อยละ 0.38 และมูลค่าลดลงร้อยละ 5 เมื่อเปรียบเทียบกับปี 2566 โดยปัจจัยหลักเป็นผลมาจากวัตถุดิบกุ้งในประเทศมีปริมาณน้อย ในขณะที่แนวโน้มการนำเข้ากุ้งของตลาดหลัก เช่น สหรัฐอเมริกา และญี่ปุ่นลดลง เนื่องจากภาวะเงินเฟ้อและเศรษฐกิจภายในประเทศ ส่งผลทำให้อำนาจการซื้อลดลง รวมทั้งมีการแข่งขันด้านราคาอย่างมากของประเทศผู้ผลิตหลัก คือ เอกวาดอร์และอินเดีย แต่สัดส่วนการบริโภคภายในประเทศเพิ่มมากขึ้นอย่างเห็นได้ชัด
ทั้งนี้ ตลาดส่งออกที่สำคัญ อันดับ 1 คือ สหรัฐอเมริกา เป็นตลาดส่งออกหลักสินค้าประมงของไทย โดยปี 2567 มีปริมาณส่งออก 271,521 ตัน มูลค่า 50,882 ล้านบาท ปริมาณเพิ่มขึ้นร้อยละ 25 มูลค่าเพิ่มขึ้นร้อยละ 19 เมื่อเปรียบเทียบกับปี 2566 อันดับ 2 ญี่ปุ่น มีปริมาณ 196,362 ตัน มูลค่า 37,142 ล้านบาท ปริมาณเพิ่มขึ้นร้อยละ 4 มูลค่าลดลงร้อยละ 3 เมื่อเปรียบเทียบกับปี 2566 โดยสาเหตุมาจากปัญหาค่าเงินเยนอ่อนค่า อันดับ 3 จีน มีปริมาณส่งออก 226,882 ตัน มูลค่า 22,391 ล้านบาท ปริมาณเพิ่มขึ้นร้อยละ 14 แต่มูลค่าลดลงร้อยละ 2 เป็นผลมาจากสัตว์น้ำส่งออกบางชนิดมีราคาต่ำกว่าปีที่ผ่านมา และ ประเทศกลุ่มอาเซียน มีปริมาณการส่งออก 318,038 ตัน มูลค่า 22,090 ล้านบาท ซึ่งจะเป็นมูลค่าการส่งออกสูงสุดมากเป็นประวัติการณ์ ซึ่งปริมาณเพิ่มขึ้น ร้อยละ 10 มูลค่าเพิ่มขึ้นร้อยละ 11 โดยสินค้าที่มีแนวโน้มส่งออกเพิ่มขึ้น ได้แก่ ปลาสดแช่เย็นแช่แข็ง หมึกสดแช่เย็นแช่แข็ง และปลากระป๋องอื่น ๆ เป็นต้น
สำหรับในปี 2568 เชื่อมั่นว่าแนวโน้มการส่งออกสินค้าประมงของไทยยังคงสดใส ด้วยปัจจัยบวกจากความต้องการสินค้าประมงในตลาดโลกที่เพิ่มขึ้น โดยกรมประมงพร้อมที่จะมุ่งมั่นยกระดับคุณภาพและมาตรฐานของสินค้าประมงไทยให้มีมาตรฐานตลอดห่วงโซ่อุปทาน เพื่อสร้างความเชื่อมั่นด้านความปลอดภัยทางอาหารให้กับผู้บริโภค ด้วยการนำเทคโนโลยีและนวัตกรรมมาใช้ในการผลิต รวมถึงจะเร่งขยายฐานการตลาดใหม่ ๆ อย่างต่อเนื่อง เพื่อขับเคลื่อนประเทศไทยสู่การเป็นผู้นำด้านสินค้าประมงคุณภาพระดับโลกในอนาคต