ผู้เลี้ยงโคนมภาคเอกชน รวมพลบุกทำเนียบฯจี้ “อุ๊งอิ๊ง” ทบทวนยกเลิกมติ ครม.3 มี.ค.ชี้เอื้อเฉพาะสหกรณ์-แบ่ง 2 มาตรฐาน

  •  
  •  
  •  
  •  

กลุ่มเกษตรกรผู้เลี้ยงโคนมภาคเอกชน คาใจมติคณะรัฐมนตรีวันที่ 3 มีนาคม 2568 ระบุเอื้อให้การช่วยเหลือเฉพาะกลุ่มสหกรณ์และวิสาหกิจชุมในการผลิตนมโรงเรียน นัดรวมตัวกว่า 460 ครอบครัวบุกทำเนียบฯ จี้นายกฯทบทวนยกเลิกมติด่วน ก่อนเดินเท้า ไปยื่นหนังสือขอความเป็นธรรมจาก รมว.เกษตรฯ ชี้เป็นการปฏิบัติ 2 มาตรฐานทั้งที่เกษตรกรไทยด้วยกันและเสียภาษีเหมือนกันมาตลอด 

เมื่อวันที่ 21 มีนาคม 2568 ได้กลุ่มเกษตรกรผู้เลี้ยงโคนมภาคเอกชน นำโดย นายวสันต์ จีนหลง นายกสมาคมผู้ผลิตนมพาสเจอร์ไรส์ และ นายชนะศักดิ์ จุมพลอนันต์ นายกสมาคมกลุ่มเกษตรกรผู้รวบรวมน้ำนมดิบ พร้อมด้วยตัวแทนสมาคมกลุ่มเกษตรกรผู้รวบรวมน้ำนมดิบ สมาคมผู้ผลิตนมพาสเจอร์ไรส์ สมาคม SME ผู้รวบรวมน้ำนมดิบและแปรรูป และเกษตรกรกว่า 460  ครอบ นัดรวมตัวบุกทำเนียบรัฐบาลเพื่อยื่นแถลงการณ์ถึงนายกรัฐมนตรี เรียกร้องขอให้ทบทวนมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 3 มีนาคม 2568 ที่มีการทบทวนและเห็นชอบเรื่องระบบการบริหารจัดการนมโรงเรียน ตามที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์เสนอก่อนหน้านี้

นายวสันต์  กล่าวว่า โครงสร้างระบบบริหารโครงการนมโรงเรียน มติ ครม. 3 มีนาคม 2568 นั้นที่มีการแบ่งกลุ่มพื้นที่จาก 5 เขต พื้นที่เป็น 7 เขตพื้นที่ และการเพิ่มวัตถุประสงค์ของโครงการนมโรงเรียน จำนวน 4 ข้อ ซึ่งอ้างว่าเพื่อให้เกษตรกรผู้เลี้ยงโคนมมีความยั่งยืนในอาชีพ โดยเน้นให้การช่วยในรูปแบบสหกรณ์โคนม รัฐวิสาหกิจ และสถาบันการศึกษา มีตลาดนมโรงเรียนรองรับ เป็นการแบ่งแยกและเลือกปฏิบัติต่อเกษตรกรผู้เลี้ยงโคนมในประเทศเป็น 2 มาตรฐาน  ไม่เห็นความสำคัญของกลุ่มเกษตรกรผู้เลี้ยงโคนมภาคเอกชนที่ประกอบอาชีพโดยสุจริตและมีมากถึง 40 % ของการผลิตนมดิบทั้งประเทศหรือประมาณวันละ 1,200 ตันจากทั้งหมด วันละ 2,800 ตัน

ทั้งนี้การยื่นหนังสือถึงนายกรัฐมนตรีครั้งนี้ เพื่อขอความช่วยเหลือในการทบทวนยกเลิกมติ หรือดำเนินการแก้ไขความเดือดร้อนให้แก่เกษตรกรผู้เลี้ยงโคนมภาคเอกชน และผู้ประกอบการโครงการอาหารเสริมนมโรงเรียนภาคเอกชน เพื่อให้สามารถประกอบอาชีพได้ต่อไป และสามารถเข้าถึงงบประมาณของรัฐที่มีวัตถุประสงค์หลัก ในการช่วยเหลือเกษตรกรผู้เลี้ยงโคนมทั้งประเทศ เด็กนักเรียนได้ดื่มนมที่มีคุณภาพผู้ประกอบการสามารถเข้าร่วมโครงการได้อย่างเป็นธรรม อย่างไรก็ตามนายกรัฐมนตรีติดภารกิจในวันนี้ จึงมอบหมายให้ นายสมคิด เชื้อคง รองเลขาธิการนายกรัฐมนตรี เป็นผู้มารับเรื่องแทน

“ที่จริงเราได้ทำหนังสือ รหัสเรื่อง นรo๑๖๘ooo๑๒๑๙ เพื่อขอให้ท่านยกเลิกมติ ครม. 3 มีนาคม 2568 หรือดำเนินการแก้ไขความเดือดร้อนแก่เกษตรกรผู้เลี้ยงโคนมภาคเอกชน และผู้ประกอบการโครงการอาหารเสริมนมโรงเรียน ภาคเอกชนแล้ว เมื่อวันที่ 12 มีนาคม 2568 เพื่อให้เกษตรกรผู้เลี้ยงโคนมภาคเอกชนให้สามารถประกอบอาชีพได้ต่อไป และสามารถเข้าถึงงบประมาณของรัฐที่มีวัตถุประสงค์หลัก ในการช่วยเหลือเกษตรกรผู้เลี้ยงโคนมทั้งประเทศ และเด็กนักเรียนได้ดื่มนมที่มีคุณภาพ โดยผู้ประกอบการสามารถเข้าร่วมโครงการได้อย่างเป็นธรรม  เพราะเราไม่เคยร้องขอดอกเบี้ยต่ำจากรัฐ ไม่เคยร้องขอเงินสนับสนุนให้เปล่า และไม่เคยเลี่ยงภาษี แต่กลับถูกละเลย และเลือกปฏิบัติ 2 มาตรฐานจากภาครัฐมาโดยตลอด จึงของนายกฯมีคำสั่งทบทวนยกเลิกมตินี้ ” นายวสันต์ กล่าว 

กระทั่งเวลา 10.30 น.นายสมคิด เชื้อคง รองเลขาธิการนายกรัฐมนตรี เป็นตัวแทนมารับหนังร้องเรียนดังกล่าว พร้อมยืนยันว่าหนังสือร้องเรียนจะถึงมือนายกรัฐมนตรีแน่นอนภายในสัปดาห์หน้า เพื่อจะหาแนวทางในการแก้ไข่ปัญหาต่อไป จากนั้นกลุ่มเกษตรกรเดินทางด้วยเท้าจากหน้าทำเนียบรัฐบาลไปยังกระทรวงเกษตรสหกรณ์เพื่อยื่นหนังถึงรัฐมนตรว่ากระทรวงเกษตรโดยมีนายอภัย สุทธิสังข์ รองปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์เป็นผู้รับหนังสือร้องเรียนแทน และบอกว่า ได้ติดตามปัญหานี้มาตลอดทางกระทรวงเกษตรฯยืนยันไม่ได้นิ่งนอนใจแต่อย่างใดตาดว่าอีก 3 สัปดาห์หลังมีประชาพิจารณ์น่าจะมีทางออกที่ดีขึ้น เพราะกระทรวงเกษตรฯให้ความสำคัญกับความเป็นอยู่ของเกษตรกรอยู่แล้ว และมีเชิญคุณวสันต์ร่วมเป็นคณะกรรมการเพื่อแนวทางแก้ปัญหาระยะยาวต่อไป