สวก.หนุน มข.พัฒนาสูตรอาหารสำหรับโคนมทุกช่วงวัย ตั้งเป้าจบโครงการสร้างรายได้ให้เกษตรกรกว่า 3,200 ล้านบาท

  •  
  •  
  •  
  •  

วิชาญ อิงศรีสว่าง

สวก.จับมือ ม.ขอนแก่น กรมปศุสัตว์ องค์การส่งเสริมกิจการโคนมแห่งประเทศไทย พัฒนาสูตรอาหารสำหรับโคนมทุกระยะตั้งแต่ลูกโค โครุ่น โคสาว โครีดนม โคพักรีด ช่วยเพิ่มรายได้ ลดต้นทุนการเลี้ยงโคนมในประเทศไทยด้วยนวัตกรรมงานวิจัย พร้อมเดินหน้านำร่องถ่ายทอดเทคโนโลยีด้านการจัดการให้อาหารโคนมอย่างเป็นระบบสู่เกษตรกรในพื้นที่ 3 จังหวัด ขอนแก่น มหาสารคาม และอุดรธานี แก้ปัญหาผลผลิตน้ำนมดิบต่อตัวต่ำ คุณภาพไม่ได้มาตรฐาน ส่งผลกระทบต่อต้นทุนการผลิตน้ำนมและรายได้ของเกษตรกร คาดจบโครงการสร้างรายได้ให้เกษตรกรกว่า 3,200 ล้านบาท

นายวิชาญ อิงศรีสว่าง ผู้อำนวยการสำนักงานพัฒนาการวิจัยการเกษตร (สวก.) กล่าวว่า อาชีพการเลี้ยงโคนม ถือเป็นอาชีพพระราชทานจากพระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราชบรมนาถบพิตร ที่ต้องการให้เกษตรกรไทยได้ประกอบอาชีพที่มั่นคง ยั่งยืน แต่ในปัจจุบันพบว่าเกษตรกรส่วนใหญ่ยังประสบปัญหาจากวัตถุดิบในการเลี้ยงโคนมที่มีต้นทุนต่อกิโลกรัมค่อนข้างสูง และวัตถุดิบอาหารสัตว์บางชนิดมีราคาแพง อีกทั้งสภาพอากาศที่ไม่เอื้อต่อการเลี้ยงโคนม ทำให้ปริมาณน้ำนมต่อตัวค่อนข้างต่ำกว่าหลายประเทศ รวมทั้งยังมีปัญหาคุณภาพน้ำนมที่ต่ำกว่ามาตรฐาน เนื่องจากเกษตรกรยังขาดความรู้ในการจัดการอาหารโคนมแต่ละระยะ

จากปัจจัยข้างต้น สวก. จึงได้สนับสนุนทุนวิจัยแก่กรมปศุสัตว์และมหาวิทยาลัยขอนแก่น ศึกษาความต้องการโภชนะของโคนมในระยะต่างๆ จนกระทั่งได้ “คู่มือความต้องการโภชนะโคนมของประเทศไทย” เล่มแรกของประเทศไทย และอยู่ระหว่างขยายผลภายใต้โครงการ “การใช้ประโยชน์นวัตกรรมความต้องการโภชนะโคนมเพื่อเพิ่มผลผลิตน้ำนม” เพื่อถ่ายทอดองค์ความรู้ให้แก่เกษตรกรผู้เลี้ยงโคนม นักอาหารสัตว์ ผู้ประกอบการ ตลอดจนนักวิชาการ ได้ใช้เป็นมาตรฐานในการประกอบสูตรอาหารสำหรับการผลิตโคนมอย่างมีประสิทธิภาพ ทั้งในด้านข้อมูลองค์ประกอบทางเคมีและคุณค่าทางโภชนะของวัตถุดิบอาหารสัตว์และสามารถนำวัตถุดิบในท้องถิ่นมาประกอบเป็นสูตรอาหารเพื่อลดต้นทุนการผลิตได้ และจะเสร็จสิ้นโครงการภายในเดือนมีนาคม 2568 นี้

คาดการณ์ว่าโครงการนี้จะทำให้เกษตรกรมีรายได้เพิ่มขึ้นจากการปรับปรุงคุณภาพน้ำนมดิบ 1.5 บาท/กิโลกรัม และปริมาณน้ำนมที่เพิ่มขึ้น 1 กิโลกรัม / ตัว /วัน ซึ่งโครีดนมในประเทศไทยปัจจุบันมีจำนวนประมาณ 276,730 ตัว เท่ากับเพิ่มรายได้ให้เกษตรกรประมาณ 3,200 ล้านบาทต่อปี

ด้าน รศ.ดร.กฤตพล สมมาตย์ หัวหน้าโครงการวิจัยฯ กล่าวว่า การเลี้ยงโคนม เรื่องของอาหารสัตว์เป็นปัจจัยสำคัญที่จะส่งผลถึงปริมาณผลผลิตน้ำนม และกำไรของเกษตรกรผู้เลี้ยงโคนมมากที่สุด เนื่องจากอาหารสัตว์ที่มีระดับโภชนะที่เหมาะสมต่อความต้องการของแม่โค จะส่งผลต่อปริมาณน้ำนมที่ได้ อีกทั้ง อาหารสัตว์ยังเป็นต้นทุนการผลิตที่มีสัดส่วนสูงที่สุดในการทำปศุสัตว์อีกด้วย โดยผลการดำเนินโครงการนี้ จะช่วยให้เกษตรกรได้รับการถ่ายทอดเทคโนโลยีเพื่อแก้ปัญหาปริมาณและคุณภาพน้ำนมตกต่ำในฟาร์มเกษตรกรผู้เลี้ยงโคนม โดยประยุกต์ใช้องค์ความรู้และเทคโนโลยีความต้องการโภชนะโคนมไทย เพื่อเพิ่มรายได้และลดต้นทุนการผลิต และเพื่อให้ได้ข้อเสนอเชิงนโยบายและมาตรการประเมินผลกระทบจากงานวิจัยความต้องการโภชนะของโคนมไทยต่อเศรษฐกิจ สังคม และสิ่งแวดล้อมต่อไป

โครงการนี้เป็นการขยายองค์ความรู้ “โภชนะโคนม”หรือ “อาหารของโคนม” เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตน้ำนม ด้วยการคำนวณสูตรอาหารโคนมที่เหมาะสมกับโคนมประเทศไทย เนื่องจากสูตรอาหารที่ใช้อยู่ในปัจจุบัน ต้องใช้ข้อมูลค่าความต้องการโภชนะและพลังงานของโคนมจากต่างประเทศ ซึ่งข้อมูลเหล่านี้มีแหล่งที่มาของชนิดวัตถุดิบ พันธุ์สัตว์ และสภาพสิ่งแวดล้อม ที่แตกต่างจากประเทศไทย ทำให้สูตรอาหารขาดความถูกต้องแม่นยำ

ดังนั้น การให้อาหารที่มีคุณค่าทางโภชนะแก่โคนมอย่างเหมาะสม จึงมีความสำคัญอย่างยิ่งในการเพิ่มผลผลิตน้ำนม และปรับปรุงคุณภาพน้ำนม ซึ่งประกอบด้วย 6 ชนิดหลักๆ ได้แก่ น้ำ โปรตีน ไขมันแร่ธาตุคาร์โบไฮเดรตและวิตามิน เนื่องจากในแต่ละชนิดจะมีส่วนผสมแยกย่อยหลายอย่าง ดังนั้น ทางคณะนักวิจัยฯ จึงได้มีการนำนวัตกรรมเข้ามาช่วยในการศึกษาความต้องการโภชนะ โดยตั้งเป้าเพิ่มผลผลิตน้ำนมให้กับแม่วัวแต่ละตัวให้สามารถผลิตน้ำนมเพิ่มขึ้น 1 กิโลกรัม/วัน

ทั้งนี้จากการคำนวณความต้องการใช้โภชนะและพลังงานอาหารที่เหมาะสมกับการเจริญเติบโตเพื่อให้ผลผลิตที่เพิ่มขึ้น ปัจจุบันโครงการฯ ได้นำร่องในพื้นที่จังหวัดขอนแก่น มหาสารคาม และอุดรธานี โดยมีเกษตรกรผู้เลี้ยงโคนมกลุ่มเป้าหมายจำนวน 800 รายเข้าร่วมโครงการฯ และมีเจ้าหน้าที่องค์การส่งเสริมกิจการโคนมแห่งประเทศไทย ปศุสัตว์เขต/ปศุสัตว์จังหวัด/ปศุสัตว์อำเภอ/สหกรณ์ รวมถึงหน่วยงานภาครัฐ เช่น กรมปศุสัตว์ และองค์การส่งเสริมกิจการโคนมแห่งประเทศไทย จำนวน 40 ราย นำองค์ความรู้จากงานวิจัยไปใช้ประโยชน์ สำหรับเกษตรกรผู้สนใจสามารถสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ สำนักงานพัฒนาการวิจัยการเกษตร (องค์การมหาชน) เบอร์โทรศัพท์ 02 579 7435