สมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้ากรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ ทรงแนะ “ระบบอาหารและเกษตรควรถูกปรับเปลี่ยนพลิกโฉมให้มีความยืดหยุ่นได้”

  •  
  •  
  •  
  •  

สมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้ากรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯสยามบรมราชกุมารีในฐานะทูตพิเศษของเอฟเอโอ ทรงพระราชทานพระราชดำรัสผ่านสื่อวิดีทัศน์เนื่องในวันอาหารโลก ทรงชี้ว่าระบบอาหารและเกษตร ควรถูกปรับเปลี่ยน พลิกโฉมให้มีความยืดหยุ่นทนทานต่อการเปลี่ยนแปลงอย่างกระทันหันและความตึงเครียดในสถานการณ์ต่างๆได้

วันที่ 17 ตุลาคม 2565 องค์การอาหารและเกษตรแห่งสหประชาชาติ (เอฟเอโอ) สำนักงานประจำภูมิภาคเอเชียและแปซิฟิกกรุงเทพฯจัดงานวันอาหารโลกประจำปี 2565  เพื่อเรียกร้องให้ทุกคนตื่นตัวเพื่อรับมือกับความท้าทายด้านอาหารที่ประเทศต่างๆและประชากรในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก รวมถึงประเทศไทยกำลังเผชิญอยู่ในขณะนี้ได้แก่ผลกระทบจากความขัดแย้งในหลายพื้นที่ของโลกการระบาดของโรคโควิด-19อย่างต่อเนื่องอัตราเงินเฟ้อราคาพลังงานราคาปุ๋ยและราคาอาหารที่ผันผวนอย่างหนักปัจจัยเหล่านี้นับเป็นความท้าทายอย่างยิ่งต่อความมั่นคงทางอาหารโดยเฉพาะในกลุ่มเปราะบาง

โอกาสนี้ สมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้ากรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯสยามบรมราชกุมารีในฐานะทูตพิเศษของเอฟเอโอ (FAO Goodwill Ambassador for Asia and the Pacific) ทรงพระราชทานพระราชดำรัสผ่านสื่อวิดีทัศน์เนื่องในวันอาหารโลกความตอนหนึ่งว่า

“ระบบอาหารและเกษตร (Agrifood system) ควรถูกปรับเปลี่ยนพลิกโฉมให้มีความยืดหยุ่นทนทานต่อการเปลี่ยนแปลงอย่างกระทันหันและความตึงเครียดในสถานการณ์ต่างๆอาทิ ภัยธรรมชาติและโรคระบาดต่างๆ เช่นโควิด19 ประเทศควรมีมาตรการที่ประยุกต์ใช้นวัตกรรมที่คุ้มค่าและมีประสิทธิภาพเพื่อมุ่งให้เกิดความคุ้มครองทางสังคม และลดความเปราะบาง โดยเฉพาะอย่างยิ่งในกลุ่มสตรีชนพื้นเมืองและเกษตรกรรายย่อยอนึ่ง การไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลังโดยไม่คำนึงถึงอายุเพศเชื้อชาติชาติพันธุ์สถานที่ความทุพพลภาพหรือสถานะการย้ายถิ่นฐานเป็นความมุ่งมั่นหลักของวาระ2030”

วันอาหารโลกจัดขึ้นเป็นประจำในวันที่ 16 ตุลาคมของทุกปีเพื่อให้ประชาชนหันมาให้ความสนใจถึงสถานะของประชากรโลกกว่า828ล้านคนที่กำลังเผชิญกับความอดอยากทุพโภชนาการขาดสารอาหารโดยคำขวัญวันอาหารโลกปีนี้คือ “การผลิตที่ดีขึ้น โภชนาการที่ดีขึ้น สิ่งแวดล้อมที่ดีขึ้น ชีวิตที่ดีขึ้น โดยไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง”(Leaving no one behind – Better production, better nutrition, a better environment and a better life.)

ดร. ฉูตง หยู ผู้อำนวยการใหญ่ของเอฟเอโอ กล่าวในแถลงการณ์ผ่านทางสื่อวิดิทัศน์ว่า “เราจำเป็นต้องเพิ่มขีดความสามารถให้กับผู้ที่อ่อนแอที่สุดรวมถึงผู้ผลิตรายย่อยด้วยการลงทุนในระบบอาหารและเกษตรทั่วโลกซึ่งหมายถึงการเข้าถึงการฝึกอบรมส่งเสริมการวิจัยวิทยาศาสตร์ข้อมูลเทคโนโลยีนวัตกรรมการสร้างแรงจูงใจ เพื่อให้เกษตรกรรายย่อยสามารถเป็นศูนย์กลางของการพลิกโฉมระบบอาหารและเกษตรได้”

ดร.ฉูตง หยู กล่าวอีกว่า “เราจำเป็นต้องมีนโยบายการจ้างงานและการบริการที่เหมาะสมในชนบทเพื่อยุติการใช้แรงงานเด็กมีแนวทางปฏิบัติที่ดีเพื่อส่งเสริมความเท่าเทียมทางเพศและสนับสนุนชาวชนบทและชนพื้นเมืองที่เป็นผู้ดูแลความหลากหลายทางชีวภาพส่วนใหญ่ของโลกไปด้วยรัฐบาลแต่ละประเทศในฐานะผู้กำหนดนโยบายจำเป็นต้องจัดเตรียมมาตรการคุ้มครองทางสังคมที่ทันเวลาและตรงเป้าหมายเพื่อปกป้องผู้ที่เปราะบางที่สุด”

การประชุมในรูปแบบออนไลน์ครั้งนี้ยังมีเวทีเสวนาจากภาคสังคมที่ทำงานเพื่อยุติความหิวโหย ความยากจนและความเหลื่อมล้ำในประเทศต่าง ๆ

ด้าน โบนิตา ชาร์มา ผู้ร่วมก่อตั้งและซีอีโอของกลุ่มนักนวัตกรรมและผู้สร้างความเปลี่ยนแปลงทางสังคม จากเนปาลกล่าวถึงความสำคัญของการมีส่วนร่วมของเยาวชนในภูมิภาคเพื่อการสร้างโภชนาการที่ดีขึ้นผ่านการใช้นวัตกรรม

ขณะที่ นาง เลนนี เอ็น โรซาลิน (Ms Lenny N. Rosalin)รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการเสริมสร้างพลังของผู้หญิงและการคุ้มครองเด็กด้านความเท่าเทียมทางเพศของอินโดนีเซีย และประธานคณะกรรมการอาเซียนว่าด้วยสตรี นำเสนอวิธีเข้าถึงกลุ่มที่เปราะบางที่สุดในภูมิภาคโดยเฉพาะอย่างยิ่งสตรีและเยาวชนในชนบทชุมชนพื้นเมืองคนพิการฯลฯนอกจากนี้ยังมีผู้ร่วมอภิปรายได้แก่นางปนัดดาบุญผลารองผู้อำนวยการองค์การแรงงานระหว่างประเทศประจำภูมิภาคเอเชียและแปซิฟิก (International Labor Organization:ILO)  และนาย เจมส์ เลย์สัน (Mr James Leyson)กรรมการผู้จัดการมูลนิธิScholars of Sustenance (SOS) สาขาประเทศไทยและฟิลิปปินส์

ปัจจุบันเอฟเอโอทำงานร่วมกับประเทศสมาชิกในเอเชียและแปซิฟิกเพื่อนำไปสู่เป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน (Sustainable Development Goals)

นายจงจิน คิม ผู้ช่วยผู้อำนวยการและผู้แทนเอฟเอโอประจำภูมิภาคเอเชียและแปซิฟิก กล่าวว่า เป้าหมายของเราคือโลกที่มีอาหารปลอดภัยและยั่งยืนมีอาหารเพียงพอสำหรับทุกคนเราสนับสนุนประเทศสมาชิกเพื่อการบรรลุวาระ2030ผ่านการเปลี่ยนแปลงพลิกโฉมไปสู่ระบบอาหารและเกษตรที่มีประสิทธิภาพครอบคลุมยืดหยุ่นและยั่งยืนมากขึ้นเพื่อนำไปสู่การผลิตที่ดีขึ้นโภชนาการที่ดีขึ้นสภาพแวดล้อมที่ดีขึ้นและชีวิตที่ดีขึ้นโดยไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง หรือ Four Betters

“การไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลังหมายถึงการทำงานหลายด้านไปพร้อมกันสำหรับเอฟเอโอนั้นรวมถึงการส่งเสริมการจ้างงานและการบริการที่ดีในชนบทการประกันการคุ้มครองทางสังคมการยุติการใช้แรงงานเด็กและการสนับสนุนการผลิตอาหารในท้องถิ่นสำหรับประชากรกลุ่มเปราะบางในประเทศที่มีวิกฤตด้านอาหารนอกจากนี้ยังหมายถึงการส่งเสริมความเท่าเทียมทางเพศและการสนับสนุนชาวชนบทและชนพื้นเมืองที่เป็นผู้ดูแลความหลากหลายทางชีวภาพส่วนใหญ่ของโลก” นายคิม กล่าว