ดลมนัส กาเจ
หลังจากที่รัฐบาลมีนโยบายและรณรงค์ให้เกษตรกรที่ปลูกข้าวในเขตชลประทานลุ่มน้ำเจ้าพระยาให้งดทำนารอบสองหรือนาปรัง เนื่องจากน้ำต้นทุนเพื่อการเกษตรมีน้อยจึงหันมาส่งเสริมให้เกษตรกรหันมาปลูกพืชใช้น้ำน้อยหลังทำนาปีโดยรัฐบาลช่วยหาตลาดอีกทางหนึ่ง
“สุชิน ใหม่หลำ” ผู้ใหญ่บ้านหมู่ 6 ต.หนองแซง อ.หันคา จ.ชัยนาท อีกคนหนึ่งที่ตัดสินใจเลือกปลูกพืชใช้น้ำน้อยหลังนาปี โดยเขาเลือกปลูกฝักทองบนพื้นที่ 2 แปลง แปลงแรก 4 ไร่ และอีกแปลง 6 ไร่รวมแล้วกว่า 10 ไร่ พบว่ารายดี
สุชิน ใหม่หลำ
บอกว่า ปกตินำนาข้าว อย่างล่าสุดปลูกข้าวพันธุ์ กข 41 และ กข 47 พื้นที่ 10 ไร่ ได้ครั้งละ 7- 8 ตัน ราคาตันละ 7,000-8,000 บาท จะได้เงินราวครั้งละ 7-8 หมื่นบาท ตอนหลังประสบปัญหาการขาดแคลนน้ำ รัฐบาลรณรงค์ให้เกษตรกรงดทำนาปรังให้ปลูกพืชที่ใช้น้ำน้อยหลังนาปี เขาจึงเลือกปลูกฝักทองของตราศรแดง พบว่า ลงทุนน้อยกว่า ใช้น้ำน้อยกว่า ใช้เวลาน้อยกว่า แต่รายได้ดีกว่า 3 เท่าตัว
สุชิน บอกว่าอีกว่า การปลูกฝักทองไม่มีอะไรซับซ้อนมากนัก เพียงไถพรวนดิน 2 รอบ ยกร่องเล็กน้อยสูงราว 30 ซม.ลงปุ๋ยสูตรเสมอ 15-15-15 ไร่ละ 1 ลูก หรือ 50 กก.ผสมปุ๋ยคอกบ้างเล็กน้อย รองพื้น ลงเมล็ดพันธุ์ฝักทองลง 10x 10 ซม.เดินสายระบบน้ำหยด ปล่อยน้ำวันละ 15 นาที
จากนั้นใช้ปุ๋ย สูตรเสมอ 15-15-15 ราวไร่ละ 1 กก.ผสมกับปุ๋ยยูเรีย 500-600 กรัมต่อไร่ ผสมน้ำ 20 ลิตรรดต้นทุก 3 วัน พอต้นสมบูรณ์ลดปริมาณปุ๋ยครึ่งหนึ่ง พร้อมฉีดฮอร์โมนทางใบบำรุงต้นบ้าง พอฝักทองโตเป็นพุ่มต้องฉีดยาป้องกันเชื้อรา รากเน่า และแมลงเต่าทองอาทิตย์ละครั้งรอบหนึ่งราว 4-5 ครั้ง จนต้นฝักทองอายุ 40 วันเริ่มออกดอก รวมใช้เวลา 70-75 วันเก็บผลผลิตได้แล้ว
“ที่แปลงนี้มี 4 ไร่ เมื่อก่อนทำนา และลองปลูกมันสำปะหลัง พอรัฐบาลส่งเสริมให้ปลูกพืชน้ำน้อย ปีที่แล้วปลูกฝักทองได้กว่า 7 หมื่นบาท ปกติราคาฝักทองจะอยู่ที่ราคา กก.ละ 6-10 บาท ปีนี้ราคาถูก กก.ละ 6 บาท รอบแรกเก็บขายได้แล้ว 6 หมื่นบาท คิดว่าแปลงนี้นี้น่าจะได้กว่า 1 แสนบาทลงทุนไม่เกิน 5 หมื่นบาท คำนวณแล้วปลูกฝักทอง 4 ไร่มีรายได้มากกว่าทำนา 10 ไร่” ผู้ใหญ่ฯสุชิน ยืนยัน (ดูรายละเอียดในคลิป)