ก.กษตรฯ ปรับกระบวนทัศน์สู้ PM2.5 ตั้ง ‘คลัสเตอร์’ คุมเข้มพื้นที่เกษตรทั่วประเทศ

กระทรวงเกษตรฯ ปรับกระบวนทัศน์สู้ PM2.5 ตั้ง “คลัสเตอร์” คุมเข้มพื้นที่เกษตรทั่วประเทศ มุ่งใช้ข้อมูลขับเคลื่อนลดการเผาพื้นที่เกษตรกรรม พร้อมถอดแบบความสำเร็จจากสำนักงานคณะกรรมการอ้อยฯ ที่มีมาตรการทางกฎหมาย การส่งเสริม และการเพิ่มมูลค่าในการแก้ไขปัญหาการเผาอ้อยเพื่อลดปัญหาฝุ่นมลพิษ PM 2.5 ฤดูการผลิตปี 2568/2569 อย่างชัดเจน

นายกฤษ อุตตมะเวทิน รองปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เปิดเผยภายหลังเป็นประธานการประชุมคณะทำงานบริหารจัดหารปัญหาฝุ่นละออง PM 2.5 ภาคการเกษตร ครั้งที่ 4/2568 ณ ห้องประชุมกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ 123 และการประชุมทางไกล Zoom Meeting ว่า ที่ประชุมได้รับทราบสถานการณ์จุดความร้อน (Hotspot) ในพื้นที่เกษตรกรรม ระหว่างวันที่ 1 ตุลาคม – 11 ธันวาคม 2568 เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปี 2567 มีแนวโน้มสถานการณ์โดยรวมดีขึ้นอย่างเห็นได้ชัด แต่ยังคงต้องเฝ้าระวังในพื้นที่ภาคเหนือที่มีจุดความร้อนสะสมสูงสุด ได้แก่ อุตรดิตถ์ 176 จุด เชียงราย 158 จุด และพิจิตร 105 จุด

ทั้งนี้ ประเทศไทยมีจำนวนจุดความร้อนสะสมทั้งหมดทั่วประเทศ ลดลง 43% (จาก 4,862 จุดในปี 2567 เหลือ 2,772 จุดในปี 2568) จุดความร้อนในพื้นที่เกษตรกรรม ลดลง 49% (จาก 3,025 จุด เหลือ 1,533 จุด) จุดความร้อนในเขตปฏิรูปที่ดิน (ส.ป.ก.) ลดลง 44% จะเห็นได้ว่าภาคเกษตรลดการเผาลงได้มากกว่าร้อยละ 40 แต่ปัญหาฝุ่น PM2.5 โดยรวมยังคงอยู่ โดยเฉพาะในเขตตัวเมืองที่ค่าฝุ่นสูงขึ้นก่อนฤดูการเผาในภาคเกษตรจะเริ่มต้น สะท้อนให้เห็นว่าปัญหามาจากหลายแหล่งกำเนิดและปัจจัยทางอุตุนิยมวิทยา ดังนั้น ไม่เพียงแต่ภาคเกษตรที่ต้องแก้ไขปัญหา แต่ทุกฝ่ายต้องร่วมมือกันแก้ไขปัญหาอย่างจริงจัง

นอกจากนี้ หน่วยงานในสังกัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ได้เตรียมมาตรการกำจัดปัญหาฝุ่นละออง ในปีงบประมาณ 2569 ได้แก่ 1) กำหนดแผนปฏิบัติการดัดแปรสภาพอากาศฯ โดยจัดตั้งหน่วยปฏิบัติการในพื้นที่เสี่ยงเกิดมลภาวะในช่วงเดือนธันวาคม 2568 – พฤษภาคม 2569 ซึ่งอาจต้องของบประมาณเพิ่มเติมเพื่อให้สามารถปฏิบัติการให้ครอบคลุมพื้นที่เสี่ยงทั่วประเทศ ทั้งนี้ ในช่วงที่ผ่านมามีการปฏิบัติการดัดแปรสภาพอากาศเพื่อบรรเทาปัญหาฝุ่น จำนวน 12 วัน พบว่าค่าคุณภาพอากาศ (AQI) ดีขึ้น 83.33% และปริมาณฝุ่นลดลงเฉลี่ย 36.6%

2) กำหนดเป้าหมายขยายการรับรอง GAP ปลอดการเผาให้ได้ 10,000 แปลง โดยส่งเสริมให้เกษตรกรปรับเปลี่ยนการปลูกพืชมูลค่าสูงแทนข้าวโพด และแนะนำให้ใช้จุลินทรีย์ย่อยสลายตอซังลดการเผา ทั้งนี้ ในปี 2568 มาตรฐาน GAP PM2.5 Free Plus ได้ให้การรับรองเกษตรกรผู้ปลูกข้าวโพดไปแล้ว 4,431 แปลง จากพื้นที่ทั้งหมด 41,055 ไร่

3) ส่งเสริมการไถกลบตอซังและผลิตปุ๋ยอินทรีย์เพื่อลดการเผาในพื้นที่เป้าหมายรวม 23,000 ไร่ ซึ่งในปี 2568 พบว่าพื้นที่รณรงค์ 73 จังหวัด มีจุด Hotspot ลดลง 35.59% และสามารถลดการปล่อย PM2.5 ได้ถึง 160 ตัน

4) จัดทำโครงการ “ฟางมา…วัวอิ่ม” พัฒนาเทคโนโลยีจัดการเศษวัสดุการเกษตรเป็นอาหารสัตว์ โดยในปี 2568 ดำเนินการในพื้นที่ 4,300 ไร่ ลดปริมาณฝุ่นได้ประมาณ 14,000 กิโลกรัม และกำหนดเป้าหมายปี 2569 ส่งเสริมในพื้นที่ไม่น้อยกว่า 2,700 ไร่

5) จัดทำโครงการ “ฟางมา…ปลาโต” โดยนำฟางข้าวและตอซังมาสร้างอาหารธรรมชาติในบ่อปลา โดยในปี 2568 ใช้เศษวัสดุ 278,146 กิโลกรัมจาก 4 จังหวัด (เชียงราย พะเยา นครพนม และกาฬสินธุ์) ช่วยลดการเกิด PM2.5 ได้ถึง 3,431 กิโลกรัม และกำหนดแผนปี 2569 ขยายผลเป็น 10 จังหวัด (เกษตรกร 250 ราย) ตั้งเป้าลดการเผาตอซัง 100,000 กิโลกรัม และ 6) โครงการลดการเผาในเขตปฏิรูปที่ดิน ปี 2569 มีเป้าหมาย 12,000 ไร่ เกษตรกร 1,200 ราย ใน 55 จังหวัด โดยจัดตั้ง “ศูนย์รณรงค์หยุดเผาในเขตปฏิรูปที่ดิน ทั้งนี้ ได้เปิดศูนย์ในภาคเหนือแล้ว 17 แห่ง และมีแผนจะเปิดในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ จำนวน 20 ศูนย์ และภาคกลาง 18 ศูนย์ เพิ่มเติม

รองปลัดเกษตรฯ กล่าวอีกว่า กระทรวงเกษตรและสหกรณ์มุ่งมั่นดำเนินมาตรการป้องกันและแก้ไขปัญหาในพื้นที่เกษตรกรรมอย่างมาก ซึ่งจะขอมอบแนวทางปรับเปลี่ยนกระบวนทัศน์การทำงานให้กับหน่วยงานในสังกัดกระทรวงเกษตรฯ เพื่อมุ่งหน้าสู่การบริหารจัดการเชิงรุกที่มีข้อมูลเป็นฐาน โดยถอดแบบความสำเร็จจากสำนักงานคณะกรรมการอ้อยและน้ำตาลทราย (สอน.) กระทรวงอุตสาหกรรม ที่มีมาตรการทางกฎหมาย การส่งเสริม และการเพิ่มมูลค่าในการแก้ไขปัญหาการเผาอ้อยเพื่อลดปัญหาฝุ่นมลพิษ PM 2.5 ฤดูการผลิตปี 2568/2569 อย่างชัดเจน

โดยขอให้จัดตั้งกลุ่มภารกิจ  รับผิดชอบเฝ้าระวังพื้นที่การเกษตรเป็นรายภูมิภาค ได้แก่ สำนักงานการปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรมเป็นหัวหน้ากลุ่มเฝ้าระวังพื้นที่ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ กรมการข้าวเป็นหัวหน้ากลุ่มเฝ้าระวังพื้นที่ภาคเหนือ กรมส่งเสริมการเกษตรเป็นหัวหน้ากลุ่มเฝ้าระวังพื้นที่ภาคกลาง และสำนักแผนงานและโครงการพิเศษ สำนักงานปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ฝ่ายเลขานุการเป็นหัวหน้ากลุ่มเฝ้าระวังพื้นที่ภาคใต้ เพื่อให้การติดตามและแก้ไขปัญหามีความเป็นเอกภาพและวัดผลได้อย่างเป็นรูปธรรมมากขึ้น ซึ่งถือเป็นการยกระดับการทำงานจากการเป็นเพียง “คณะประชุม” สู่การเป็น “คณะทำงานบริหารจัดการ” อย่างแท้จริง