สศท.4 ชู ศกอ. ร้อยเอ็ด ปั้น ‘ข้าวเขียวหยก’ หอมมะลิ 105 สู่สินค้ามูลค่าเพิ่มขาย กก.ละ 70 บาท

                                                                  สวัสดิ์ ลาโพธิ์ 

สศท.4 ชูเศรษฐกิจการเกษตรอาสาจังหวัดร้อยเอ็ด “สวัสดิ์ ลาโพธิ์” ปั้น “ข้าวเขียวหยก” หอมมะลิ 105 สู่สินค้ามูลค่าเพิ่มขายได้ในราคา กก.ละ 70 บาท เชิญชวนไปอุดหนุนข้าวหอมมะลิไทยได้ในงาน “เทศกาลข้าวหอมมะลิโลก ครั้งที่ 25″ จัดที่ร้อยเอ็ด ระหว่างวันที่ 10–14 ธันวาคม 2568 นี้

นายนพดล ศรีพันธุ์  ผู้อำนวยการสำนักงานเศรษฐกิจการเกษตรที่ 4 ขอนแก่น (สศท.4) สำนักงานเศรษฐกิจการเกษตร (สศก.) เปิดเผยว่า ข้าวเขียวหยก นับเป็นหนึ่งในสินค้าเกษตรที่สร้างมูลค่าเพิ่มสูง ได้รับความนิยมและเป็นที่ต้องการในตลาดกลุ่มผู้รักสุขภาพ เนื่องจากเป็นข้าวที่เก็บเกี่ยวก่อนวัยฤดูเก็บเกี่ยว (ระยะน้ำนม) เป็นช่วงที่เมล็ดข้าวอุดมไปด้วยสารอาหาร โดยเฉพาะสาร GABA ที่ช่วยบำรุงสมองและระบบประสาท อีกทั้งมีดัชนีน้ำตาลต่ำกว่าข้าวขาว เหมาะสำหรับผู้ป่วยเบาหวานและผู้ต้องการควบคุมระดับน้ำตาล พร้อมใยอาหารสูงที่ดีต่อระบบย่อยอาหาร

                                                             นพดล ศรีพันธุ์ 

จากการลงพื้นที่ของ สศท.4 พบว่า หนึ่งในตัวอย่างของเกษตรกรผู้ปลูกข้าวเขียวหยกที่ประสบความสำเร็จ คือ นายสวัสดิ์ ลาโพธิ์ เศรษฐกิจการเกษตรอาสา (ศกอ.) จังหวัดร้อยเอ็ด และเป็นประธานศูนย์เรียนรู้การเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตสินค้าเกษตร (ศพก.) อำเภอเมืองร้อยเอ็ด จังหวัดร้อยเอ็ด และศูนย์ข้าวชุมชนบ้านสงเปลือย หมู่ที่ 5 ตำบลเมืองทอง  อำเภอเมืองร้อยเอ็ด จังหวัดร้อยเอ็ด โดยได้รับการสนับสนุนเครื่องจักรกลทางการเกษตร ได้แก่ เครื่องอบลดความชื้นข้าวเปลือก เครื่องสีข้าว เครื่องซีลสูญญากาศ จากกรมการข้าว ภายใต้โครงการ ระบบส่งเสริมการเกษตรแบบแปลงใหญ่ปี 2564 กิจกรรมเสริมสร้างศักยภาพการผลิตเมล็ดพันธุ์ข้าวของศูนย์ข้าวชุมชน

นายสวัสดิ์ บอกว่า  เมื่อปี 2566 ตนเริ่มต้นทดลองปลูกข้าวเขียวหยก (ระยะเขียว) ซึ่งเลือกใช้พันธุ์ข้าวหอมมะลิ 105 คุณภาพดี และจำหน่าย พบว่าตลาดมีทิศทางดีจึงขยายการผลิตมาจนถึงปัจจุบันบนพื้นที่ 5 ไร่ ในปี 2568 ได้ผลผลิตรวม 2 ตัน หรือ 2,000 กิโลกรัม เพาะปลูกปีละ 1 รอบการผลิต ช่วงเดือนกรกฎาคม และเก็บเกี่ยวช่วงเดือนพฤศจิกายน มีระยะเก็บเกี่ยวประมาณ 100 – 110 วัน

การดูแลรักษาแปลงส่วนใหญ่เหมือนกับการปลูกข้าวทั่วไป แต่มีขั้นตอนสำคัญที่แตกต่าง คือ การระบายน้ำออกจากแปลงให้หมดในช่วงอายุประมาณ 80 – 90 วันหลังปลูก เพื่อช่วยให้ข้าวเกิดความหอมพิเศษและเป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัว การเก็บเกี่ยวต้องทำในช่วงที่มีแสงแดดจัดเพื่อลดความชื้นในเมล็ดและรักษาคุณภาพของผลผลิต ข้าวที่เก็บเกี่ยวได้จะมีความชื้นประมาณ 32 – 40%

จากนั้นจะนำผลผลิตทั้งหมดเข้าสู่กระบวนการอบด้วยเครื่องอบลดความชื้นข้าวเปลือก เพื่อลดความชื้นให้เหลือเพียง 14% ซึ่งเป็นระดับมาตรฐานที่ปลอดภัย สามารถยับยั้ง การเสื่อมสภาพของเมล็ดข้าวและคงคุณค่าทางโภชนาการ จากนั้นผลผลิตจะถูกเก็บรักษาในรูปของข้าวเปลือกที่ผ่านการอบแห้ง ซึ่งเมื่อมีคำสั่งซื้อจากลูกค้าจะนำข้าวมาสีบรรจุในถุงสุญญากาศ ขนาด 1 กิโลกรัม เพื่อให้ข้าวคงความเขียวสดและน่ารับประทานอยู่เสมอ

ด้านการจำหน่ายและการตลาด ราคาข้าวเขียวหยกซีลสุญญากาศ ขนาด 1 กิโลกรัม (ราคา ณ พฤศจิกายน 68) อยู่ที่ 70 บาท สามารถสร้างรายได้สูงกว่าการขายข้าวหอมมะลิในช่วงเก็บเกี่ยวปกติถึงกิโลกรัมละประมาณ 20 บาท โดยตลาดส่วนใหญ่เป็นตลาดออนไลน์ถึงร้อยละ 70 และจำหน่ายทางหน้าร้านอีกร้อยละ 30

นายสวัสดิ์ เล่าต่อว่า การพัฒนาข้าวเขียวหยกในระยะต่อไป เตรียมขยายพื้นที่ปลูกเพิ่มขึ้นเป็น 10 ไร่ รวมถึงเกษตรกรเครือข่ายจะขยายพื้นที่ปลูกอีกประมาณ 10 ราย (รายละ 1 – 2 ไร่) เพื่อรองรับความต้องการของตลาด ทั้งนี้ ในปี 2568 นายสวัสดิ์ได้เก็บผลผลิตไว้ จำนวน 1 ตัน (ผลผลิต รวม 2 ตัน) เพื่อรอจำหน่ายในงานเทศกาลข้าวหอมมะลิโลกที่จะจัดขึ้นในเดือนธันวาคมนี้

ทั้งนี้ในช่วงเดือนธันวาคมนี้ จังหวัดร้อยเอ็ดกำลังเตรียมจัดงานส่งเสริมผลิตภัณฑ์ข้าวหอมมะลิจากแหล่งปลูกคุณภาพเพื่อแสดงศักยภาพด้านการเกษตรและสนับสนุนการพัฒนาคุณภาพข้าวไทยให้เป็นที่ยอมรับในระดับประเทศและนานาชาติ

จึงขอเชิญชวนทุกท่านที่สนใจเข้าชมและอุดหนุนผลิตภัณฑ์ข้าวหอมมะลิภายในงาน “เทศกาลข้าวหอมมะลิโลก ครั้งที่ 25”  จัดขึ้นระหว่างวันที่ 10–14 ธันวาคม 2568 ณ อ่างเก็บน้ำธวัชชัย ตำบลมะอึ อำเภอธวัชบุรี จังหวัดร้อยเอ็ด ภายในงานจะมีนิทรรศการเทคโนโลยีข้าว การเจรจาธุรกิจ (Business Matching) และการแสดงศิลปวัฒนธรรม พร้อมกิจกรรมบันเทิงสร้างมูลค่าเพิ่มและกระตุ้นเศรษฐกิจในพื้นที่ ทั้งนี้ ท่านใดสนใจการผลิตข้าวเขียวหยกหรือสนใจเข้าศึกษาดูงาน สามารถสอบถามได้ที่นายสวัสดิ์ ลาโพธิ์ เศรษฐกิจการเกษตรอาสา โทร 09 3053 5456 ยินดีให้คำปรึกษาทุกท่าน