“ซินเจนทา” สุดปลื้ม 2 ปี “เพาะดี กินดี” ไปได้สวย ปั้นเกษตรกรสู่เกษตรปลอดภัยมาตรฐาน GAP รวม 300 ราย ประกาศเดินหน้าส่งเสริมอีกปีละ 5,000 ราย

วรรณภร วัฒนาเกษมสัตย์(ซ้าย)

“ซินเจนทา” ประกาศความสำเร็จ เพี่ยง 2 ปีที่ร่วมกับมูลนิธิรักษ์ไทย สร้างเกษตรกรทำเกษตรปลอดภัยเป็นที่ต้องการของตลาด สร้างรายได้เพิ่มเป็นจำนวนมาก ล่าสุดได้รับมาตรฐาน GAP รวมแล้ว 300 ราย ประกาศจะเดินหน้าส่งเสริมเกษตรกรให้ร่วมโครงการปีละ 5,000 ราย พร้อมขยายผลไปสู่ภูมิภาคอื่นของประเทศ หวังให้เกษตรกรมีความมั่นในการดำรงชีวิตและสร้างรายได้ให้มาหขึ้น

ทั้งนี้จากความมุ่งมั่น ในการสร้างความมั่นคงทางอาชีพให้แก่เกษตรกรไทย และปรับแนวทางการผลิตให้ปลอดภัยต่อผู้ปลูกและผู้บริโภค ภายใต้ “โครงการเพาะดี กินดี” (Grow Well, Eat Well) โครงการที่เกิดขึ้นจากการริเริ่มของบริษัทซินเจนทา ประเทศไทย ร่วมกับมูลนิธิรักษ์ไทย เพื่อขับเคลื่อนเป้าหมายร่วมกัน โดยมีผลลัพธ์ที่ชัดเจนตลอดกว่า 2 ปีที่ผ่านมา และมีเกษตรกรที่เข้าร่วมโครงการที่ได้รับใบรับรองมาตรฐานสินค้าเกษตรปลอดภัย GAP (Good Agricultural Practices) รวม 290 ราย สะท้อนให้เห็นว่า เกษตรกรที่ร่วมโครงการสามารถปรับเปลี่ยนแนวคิดและวิธีการทำเกษตรให้ปลอดภัยมากขึ้น พร้อมเปิดประตูสู่ตลาดที่ใหญ่ขึ้นของประเทศ และต่อยอดสู่โอกาสทางการค้าในระดับสากลในอนาคต

นางสาววรรณภร วัฒนาเกษมสัตย์ ผู้อำนวยการฝ่ายความยั่งยืนและบรรษัทสัมพันธ์ บริษัท ซินเจนทา ครอป โปรเทคชั่น จำกัด กล่าวว่า ในช่วง 2 ปีที่ผ่านมาโครงการ ‘เพาะดี กินดี’ ได้พิสูจน์ว่าเมื่อเกษตรกรได้รับคำแนะนำที่ถูกต้อง เกษตรกรได้รับความรู้และการสนับสนุนที่จริงใจ ส่งผลให้พวกเขากล้าปรับเปลี่ยนสู่การผลิตจากการทำการเกษตรแบบเดิมไปสู่การทำเกษตรที่ปลอดภัย ตั้งแต่การจัดการแปลงไปจนถึงการขายผลผลิตที่ตลาดยอมรับ โดยมีใบรับรอง GAP เป็นใบเบิกทางและเป็นที่ต้องการของตลาดรับซื้อ ใบ GAP กว่า 290 ใบจึงไม่ใช่แค่เอกสาร แต่คือรากฐานชีวิตใหม่ นำไปสู่รายได้ที่มั่นคง ความภูมิใจในการสร้างความมั่นคงทางอาหาร ผลิตอาหารปลอดภัย และมีความมั่นใจในอนาคต

ภายใต้ความท้าทายต่างๆ ซินเจนทาจะยังคงเคียงข้างเกษตรกรไทยในทุกฤดูกาล ทุกพืช ส่งต่อเทคโนโลยี นวัตกรรมใหม่ๆ ความรู้ และเชื่อมโยงสู่ตลาดที่ยั่งยืน เพื่อร่วมสร้างระบบอาหารที่ปลอดภัยสำหรับทุกคน และยืนยันว่า โครงการนี้จะเดินการต่อไปเพื่อสร้างความอยู่ดีกินดีของเกษตรกร ตั้งเป้าไว้จะปั้นเกษตรกรภายใต้โครงการปีละ 5,000 รายและจะขยายสู่ภูมิภาคอื่นด้วย ตอนนี้เริ่มแล้วในภาคอีสาน

“ทุกใบ GAP ที่เกษตรกรได้รับในวันนี้ คือผลลัพธ์ของความร่วมมือที่แท้จริง ทั้งจากภาครัฐ ภาคเอกชน ภาคประชาสังคม และพี่น้องเกษตรกร สิ่งที่เรากำลังสร้างไม่ใช่แค่เพียงระบบการผลิตที่มีมาตรฐาน แต่คือระบบความสัมพันธ์ระหว่างคนกับดิน ระหว่างเกษตรกรกับผู้บริโภค ที่ตั้งอยู่บนความเข้าใจและความไว้วางใจ เราเชื่อว่าเมื่อเกษตรกรได้รับโอกาส เขาจะเป็นกำลังสำคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจฐานรากของประเทศได้อย่างยั่งยืน ดังนั้นซินเจนทาจะยังเดินหน้าขยายโครงการต่อไป เพื่อร่วมสร้างระบบอาหารที่ปลอดภัย และยั่งยืนให้กับผู้ปลูก และผู้บริโภค เพื่อให้เกษตรกรไทยไม่เพียง ‘ปลูกดี’ และ ‘กินดี’ แต่สามารถ ‘อยู่ดี’ และยั่งยืน มีความสุขในวิถีเกษตรของตนเอง พร้อมส่งต่อคุณภาพชีวิตที่ดีให้กับรุ่นต่อไป และสามารถแข่งขันได้ในระดับสากล นางสาววรรณภร กล่าว

                                                                          ดิเรก เครือจินลิ

ด้าน นายดิเรก เครือจินลิ ผู้ประสานงานโครงการสิ่งแวดล้อมภาคเหนือ มูลนิธิรักษ์ไทย กล่าวว่า ตลอดเวลาที่ทำงานร่วมกับบริษัทซินเจนาท ภายใต้โครงการ ‘เพาะดี กินดี’ โดยเฉพาะที่ชุมชนแม่วิน–แม่วาง ได้เห็นชัดว่าความรู้และโอกาสสามารถเปลี่ยนชีวิตเกษตรกรได้จริง เกษตรกรเริ่มเข้าใจแนวคิดของ ‘เกษตรยั่งยืน’ รวมไปถึงการปลูกอย่างมีแผน มีตลาดรองรับ และใช้ทรัพยากรธรรมชาติอย่างรู้คุณค่า โครงการ ‘เพาะดี กินดี’ เข้ามาช่วยเกษตรกรตั้งแต่ต้นน้ำถึงปลายน้ำ ทั้งการจัดการแปลง วิเคราะห์ต้นทุน ควบคุมคุณภาพผลผลิตตามมาตรฐาน GAP จนถึงการพัฒนาเครือข่ายตลาดระดับจังหวัดและประเทศ วันนี้เกษตรกรจำนวนมากสามารถบริหารจัดการการปลูกได้ด้วยตัวเอง มีรายได้มั่นคงขึ้น และที่สำคัญคือ ไม่ต้องวิ่งหาตลาดเหมือนในอดีต เพราะตลาดเป็นฝ่ายเข้ามาหาเอง นี่คือจุดเปลี่ยนสำคัญที่ทำให้ชุมชนสามารถยืนอยู่ได้อย่างเข้มแข็งและพึ่งพาตนเองได้อย่างแท้จริง

                                                            อดิเรก สิริว่องวัฒนากิจ(ซ้าย)

ส่วน นายอดิเรก สิริว่องวัฒนากิจ สมาชิกกลุ่มวิสาหกิจผักปลอดภัยบ้านป่ากล้วย ตำบลแม่วิน อำเภอแม่วาง จังหวัดเชียงใหม่ หนึ่งในเกษตรกรผู้เพาะปลูก กล่าวว่า ใบรับรองมาตรฐาน GAP เป็นใบเบิกทางสำคัญในการเพิ่มโอกาสทางการตลาด ตอนนี้เราปลูกมะเขือเทศเชอรี่หลากสี สายพันธุ์พรีเมียมอย่าง ‘มันเดย์’ (Monday) และ ‘ชูการ์มูน’ (Sugarmoon)  ที่ต้องใช้ต้นทุนสูง เพราะเมล็ดพันธุ์เฉลี่ยราคา 28–30 บาทต่อเมล็ด และต้องการการดูแลเฉพาะทาง ซึ่งโครงการ ‘เพาะดี กินดี’ เข้ามาช่วยให้ความรู้ตั้งแต่การเตรียมดิน การให้ปุ๋ย ไปจนถึงแนวทางการปลูกที่ปลอดภัยต่อทั้งผู้ปลูกและผู้บริโภค ส่งผลให้ผลผลิตมีคุณภาพสม่ำเสมอและเป็นที่ยอมรับของตลาด ทำให้กล้าลงทุนเพิ่มขึ้น เพราะมีผู้รับซื้อที่เชื่อมั่นในมาตรฐานผลผลิต ปัจจุบันมะเขือเทศเชอรี่ของกลุ่มสามารถจำหน่ายให้ตลาดไทได้ในราคาประมาณ 70 บาทต่อกิโลกรัม ซึ่งช่วยเพิ่มรายได้และความมั่นคงให้กับครอบครัว”


                                                                       พิสมัย พฤกษาฉิมพลี

ขณะที่นางสาวพิสมัย พฤกษาฉิมพลี สมาชิกกลุ่มวิสาหกิจผักปลอดภัยบ้านห้วยตอง ตำบลแม่วิน อำเภอแม่วาง จังหวัดเชียงใหม่ กล่าวว่า “ก่อนหน้านี้เคยปลูกผักสลัดขาย ผักสวย ได้มาตรฐานเป็นที่ต้องการของตลาดรับซื้อ แต่ตอนนี้หันมาปลูกพริกเม็กซิกันเป็นครั้งแรก  ซึ่งเป็นพืชตัวใหม่ที่มีความท้าทาย ต้องใช้ความรู้และการดูแลที่มากกว่าผักเดิมๆ ที่เคยปลูก แต่ด้วยการสนับสนุนจากโครงการ ‘เพาะดี กินดี’ ทั้งด้านเทคนิคการปลูก การใช้ปุ๋ย และการดูแลโรคพืช ทำให้ผลผลิตมีคุณภาพและเป็นที่ต้องการของตลาด ผลผลิตพริกเม็กซิกันในรอบที่ผ่านมาอยู่ที่ 2,900–3,000 กิโลกรัม โดยมีโรงงานในจังหวัดลำพูนรับซื้อไปแปรรูปในราคาประมาณ 23–24 บาทต่อกิโลกรัม และส่วนที่เหลือจำหน่ายให้พ่อค้าแม่ค้าทั่วไปในราคา 50 บาทต่อกิโลกรัม ทำให้มีรายได้เพิ่มขึ้นอย่างชัดเจน เพราะการได้ใบ GAP ทำให้ตลาดเชื่อมั่นมากขึ้น ทำให้เรากล้าปลูกพืชใหม่และขยายผลผลิต เพราะมั่นใจว่ามีตลาดรองรับ

โครงการ “เพาะดี กินดี” (Grow Well, Eat Well) ถือกำเนิดจากแนวคิดที่ต้องการให้เกษตรกรไทยสามารถ “ปลูกดี กินดี และอยู่ดี” อย่างยั่งยืน ผ่านการส่งเสริมความรู้ทางเทคนิค การจัดการแปลงที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม และการสร้างช่องทางเชื่อมโยงตลาดให้ถึงมือเกษตรกรโดยตรง ซึ่งภายในระยะ 18 เดือน มีเกษตรกรที่เข้าร่วมโครงการ ‘เพาะดี กินดี’แล้ว กว่า 1,700  ราย บนพื้นที่กว่า 1,200 ไร่ ในเครือข่ายใน 7 จังหวัด ได้แก่  เชียงใหม่ เชียงราย พะเยา น่าน ลำพูน ลำปาง และ หนองคาย โดยมีภาคีเครือข่ายของโครงการ ได้แก่ มูลนิธิรักษ์ไทย ผู้ประกอบการในอุตสาหกรรมอาหารศูนย์วิจัยและพัฒนาการเกษตร กรมวิชาการเกษตร ซึ่งขณะนี้โครงการ “เพาะดี กินดี” ได้ขยายผลเป็นการผลักดันให้เกษตรกรรวมกลุ่มกันตั้งวิสาหกิจชุมชนได้สำเร็จแล้ว 10 วิสาหกิจ  และกำลังวางแผนขยายไปยังภาคกลางและภาคอีสานในปีต่อไป เพื่อสร้างเครือข่ายเกษตรกรที่เข้มแข็ง มีความรู้ และมีตลาดรองรับที่มั่นคง