
“มูลนิธิสืบ-วนศาสตร์ มก.” ค้านนิรโทษกรรมรุกป่า ชี้เหมาเข่ง-เอื้อทุนเทา หวั่นซ้ำรอย “ป่าหาย 14 ล้านไร่ “ชีวะภาพ” แฉมีขบวนการซูเอี๋ย ชี้นายทุนเข้าแทรกแซง สว. เตรียมบุกแผ้วถางป่า เอาหลักเขตไปปักจองยึดครองกันแล้ว
วันที่ 4 พ.ย.68 นายชีวะภาพ ชีวะธรรม สมาชิกวุฒิสภา ในฐานะประธานคณะกรรมาธิการทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม วุฒิสภา เป็นประธานการประชุมเพื่อพิจารณาศึกษาร่าง พ.ร.บ.ยกเว้นความผิดให้แก่บุคคลที่ได้รับความเสียหายหรือผลกระทบจากการดำเนินการตามนโยบายรัฐด้านป่าไม้และที่ดิน รวมทั้งร่าง พ.ร.บ.นิรโทษกรรมแก่ราษฎรผู้ได้รับผลกระทบจากนโยบายรัฐด้านที่ดินและทรัพยากรธรรมชาติ หรือร่างนิรโทษกรรมคดีรุกป่า ซึ่งอยู่ระหว่างการพิจารณาในวาระที่ 2 ของสภาผู้แทนราษฎร โดยเชิญผู้อำนวยการสถาบันนโยบายศึกษา , นายกสมาคมศิษย์เก่าวนศาสตร์ , นายกสมาคมอุทยานแห่งชาติ , เลขาธิการภาคีเครือข่ายรักประเทศไทย และเลขาธิการมูลนิธิสืบนาคะเสถียร เข้าร่วมชี้แจง
ผศ.วันชัย อรุณประภารัตน์ นายกสมาคมศิษย์เก่าวนศาสตร์ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ เปิดเผยถึง 4 ข้อกังวลต่อร่าง พ.ร.บ. ฉบับดังกล่าวว่า 1. ร่าง พ.ร.บ. นี้ไม่สามารถระบุได้ชัดเจนว่า “กลุ่มบุคคล” ที่จะได้รับการนิรโทษกรรมเป็นใครกันแน่ มีทั้งผู้ยากไร้จริง, ผู้ไร้ที่ทำกิน, หรืออาจมี “นายทุน” และ “นอมินี” แฝงตัวอยู่ ซึ่งไม่ชัดเจนเลยว่าจะพิสูจน์สิทธิ์กันอย่างไร

2.ในคดีป่าไม้ มีหลายกรณีที่เป็นการ “ตรวจยึดพื้นที่” โดยไม่มีผู้ต้องหา หาก พ.ร.บ. นี้ผ่าน คนกลุ่มนี้ที่ไม่เคยปรากฏตัว จะต้องออกมาแสดงตัวเพื่อรับสิทธิ์นิรโทษกรรมอย่างแน่นอน
3. พื้นที่ที่จะนิรโทษกรรม ไม่มีความชัดเจนเลยว่าอยู่ตรงไหนบ้าง แต่ร่างกฎหมายเขียน “คุมหมด” ทั้งป่าไม้ถาวร, ป่าสงวนแห่งชาติ, อุทยานแห่งชาติ, เขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่า, วนอุทยาน ไปจนถึงสวนป่าขององค์การอุตสาหกรรมป่าไม้
4.ตามมาตรา 7 ของร่างพ.ร.บ.ดังกล่าวกำหนดให้มีคณะกรรมการนิรโทษกรรมระดับจังหวัด หนึ่งในนั้นคือผู้อำนวยการทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมจังหวัด (ทสจ.) ซึ่งหลายท่านไม่ได้เชี่ยวชาญด้านป่าไม้โดยตรง แต่อาจจบด้านสิ่งแวดล้อม จึงควรต้องมี “ตัวแทนเจ้าของพื้นที่” ที่เป็นคดีอยู่ด้วย เช่น ผู้บริหารจากกรมอุทยานฯ กรมป่าไม้ ในพื้นที่นั้น ๆ เพื่อให้การพิสูจน์สิทธิ์รัดกุม ไม่ผิดพลาด
ผศ.วันชัย ยังได้ยก “บทเรียนราคาแพง” ในอดีตมาเตือนว่า หากร่าง พ.ร.บ. ฉบับนี้มีผลบังคับใช้ จะเป็นการสั่ง “ห้ามจับกุม-ห้ามดำเนินคดี” ผู้กระทำผิดทั้งหมด
“คล้ายกับในช่วงปี 2519-2521 ประเทศไทยเคยได้รับผลกระทบหนักมาแล้ว จากข้อสั่งการของนายกฯ ในปี 2518 ให้ระงับการจับกุมผู้บุกรุกป่าทั้งหมด ผลคือ 2 ปีถัดมา พื้นที่ป่าหายไป 14 ล้านไร่ นั่นคือช่วงที่ป่าไม้ลดลงในอัตราสูงสุดเป็นประวัติการณ์ เฉลี่ยปีละ 7 ล้านไร่เศษ ถ้าร่างพ.ร.บ. นี้ออกมาในลักษณะคล้าย ๆ เดิม ป่าก็จะถูกบุกรุก วนกลับมาเหมือนเดิม อีกทั้งร่างกฎหมายนี้จะกระทบต่อนโยบายป่าไม้แห่งชาติ ที่ตั้งเป้าให้ไทยมีพื้นที่ป่าไม้ร้อยละ 40 ของประเทศอย่างแน่นอน” ผศ.วันชัยกล่าว

ด้านนางสาวอรยุพา สังขะมาน เลขาธิการมูลนิธิสืบนาคะเสถียร กล่าวว่า ร่างกฎหมายทั้ง 2 ฉบับนั้น เป็นการมองแต่มิติของประชาชนเพียงอย่างเดียว แต่ไม่ได้มองมิติของทรัพยากรธรรมชาติ อีกทั้งร่างพ.ร.บ.ดังกล่าวระบุว่าให้นิรโทษกรรมย้อนหลังไปถึงปี 2497 และที่น่ากังวลที่สุดคือ ให้มีผลจนถึงวันที่ พ.ร.บ. ประกาศใช้
“ประเด็นนี้น่ากังวลมาก มันเหมือนกรณีข้อตกลงหยุดยิงไทย-กัมพูชา ที่ให้หยุดยิงหลังเที่ยงคืน ผลคืออะไร? …ก่อนเที่ยงคืนเขาก็กระหน่ำยิงกันเต็มที่ กรณีนี้ก็เหมือนกัน การเขียนแบบนี้จะเป็นการเปิดช่องให้คนรีบเข้าไปบุกรุกป่าให้เต็มที่ ก่อนที่กฎหมายจะบังคับใช้” นางสาวอรยุพากล่าว
นอกจากนี้นางสาวอรยุพา ยังกล่าวว่า การที่ร่าง พ.ร.บ. ดังกล่าว ไประบุถึงการนิรโทษกรรมให้ ตัวการ, ผู้ใช้, ผู้สนับสนุน อาจเป็นการเอื้อประโยชน์ให้นายทุน แม้แต่ผู้ร่าง พ.ร.บ. เองก็ยอมรับว่า อาจมีนายทุนหลุดรอดเข้ามาในระบบ
างออกที่มูลนิธิฯ เสนอ คือไม่ใช่นิรโทษกรรมแบบเหมาเข่ง แต่ควรเอาข้อมูลมากางกันเป็นข้อเท็จจริง ดูเป็นพื้นที่ เป็นกรณีไป เพราะทราบว่ามีประชาชนบางกลุ่มที่เดือดร้อนจริง แต่ต้องช่วยเหลือเยียวยา ‘เฉพาะกลุ่ม’ ไม่ใช่เหมาคลุมทั้งหมด ทั้งนี้มูลนิธิสืบนาคะเสถียร ได้ยื่นข้อเสนอ ขอให้คณะกรรมาธิการวิสามัญฯ ได้ “ทบทวน” ร่าง พ.ร.บ. ทั้ง 2 ฉบับนี้ใหม่อย่างรอบคอบ

เช่นเดียวกับนางทิพย์พาพร ตันติสุนทร ผู้อำนวยการสถาบันนโยบายศึกษา ระบุว่า ร่าง พ.ร.บ. ดังกล่าว มีลักษณะหว่านแห มากกว่าการระบุตัวตนและพื้นที่ของคนที่เดือดร้อนจริง ไม่ควรลากคนทั้งประเทศมารับความเสี่ยง หรือรับผลกระทบจากสิ่งแวดล้อมที่จะพังพินาศไปด้วย โดยเฉพาะการที่ไม่ตีกรอบ “บุคคล” ที่ได้รับผลกระทบให้ชัดเจน ถือเป็นการตีวงกว้างชนิดที่ว่าใครก็ตามที่เกี่ยวข้อง จะได้รับการล้างผิด แถมยังได้ที่ดินนั้นไปด้วย
นางทิพย์พาพร ยังกล่าวว่า การดูแลทรัพยากรเป็นหน้าที่ของทุกคนตามรัฐธรรมนูญ นี่คือความรับผิดชอบร่วมกัน รวมถึงพรรคการเมืองที่ออกกฎหมายคลุมเครือแบบนี้ มันเป็นเรื่องจริยธรรมของคนรุ่นปัจจุบัน ที่ต้องรับผิดชอบต่อคนรุ่นหน้า อีกทั้งร่างกฎหมายจากทั้ง 2 พรรคที่มีเพียง 20 มาตรา กำลังถูกผลักดันเข้าสภาฯ ทั้งสภาผู้แทนฯ และ สว. ในเวลาอันสั้น แถมไม่มีร่างของรัฐบาลมาประกบเลย “ในฐานะพลเมืองคนหนึ่ง นี่คือความไม่เป็นธรรมกับประชาชนทั้งประเทศ ที่เป็นเจ้าของป่าร่วมกัน

ชีวะภาพ ชีวะธรรม
ขณะที่ นายชีวะภาพ กล่าวว่า ร่างกฎหมายยังไม่ทันประกาศใช้ ก็มีขบวนการ ‘ซูเอี๋ย’ เตรียม “บุกแผ้วถางป่า” เอาหลักเขตไปปักจองยึดครองกันแล้ว โดยเฉพาะที่ดินสวยๆ ในเขตวิวทิวทัศน์งามๆ วันนี้มี ‘นายทุน’ มารอแล้ว อีกทั้งนายทุนยังประสานแทรกซึมเข้ามาที่วุฒิสภาด้วย รอว่ากฎหมายตัวนี้เข้าสู่การพิจารณาของวุฒิสภาเมื่อไหร่ ก็จะมี สว. อีกส่วนหนึ่งไปสนับสนุนยกมือเห็นชอบร่างกฎหมายทั้ง 2 ฉบับ
“หากจะสร้างกฎหมายแล้วเอาป่าไปแลกจนเกิดผลกระทบใครจะรับผิดชอบ ผู้เสนอร่างฯ จากทั้ง 2 พรรค กล้ารับผิดชอบไหมล่ะ ผมเอาหัวเป็นประกันว่ามันเกิดผลกระทบแน่ ถ้าไม่เกิดผลกระทบมาตัดหัวผมได้เลย ผมพูดตรงๆ หาดดีๆ เกาะดีๆ หมดแน่ ถ้าร่างกฎหมายเป็นแบบนี้”
นายชีวะภาพ ยังได้เรียกร้องให้สถาบันการศึกษาที่สอนด้านการอนุรักษ์ป่าไม้ต้องออกมาช่วยกัน อีกทั้งกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ต้องขยับตัวเยอะๆ คงไม่ต้องให้วิญญาณของเสือดำแห่งทุ่งใหญ่นเรศวร กับ สืบ นาคะเสถียร ไปเข้าฝันดลใจ อยากให้ทุกฝ่ายออกมาแสดงพลัง

ทั้งนี้นายชีวะภาพ ยืนยันว่า รัฐบาลทุกยุคไม่เคยทอดทิ้งผู้ยากไร้ที่ทำกิน แต่สิ่งที่กำลังเกิดขึ้นคือการ “เอาพี่น้องประชาชนเป็นตัวนำ” แล้ว “ซุกซ่อน” ผู้มีอิทธิพล, คนต่างชาติ, นายทุนเทาและดำ ไว้ข้างหลัง ซึ่งจะสร้างความเสียหายเป็นแสนล้านบาท โดยประชาชนไม่รู้เรื่องรู้ราว มาเสี่ยงแบบนี้ คงไม่เห็นด้วยและต้องช่วยกันแสดงเจตนารมณ์คัดค้าน
