“ภราดร” ถก สทนช. หาทางบริหารจัดการน้ำช่วงวิกฤต รับมือฝนหนักโค้งสุดท้ายในช่วง 15 วัน พร้อมเร่งเยียวยาผู้ประสบภัย

                                                          ภราดร ปริศนานันทกุล
“ภราดร” รับลูกคำสั่งการนายกฯ  รุดหารือผู้บริหาร สทนช. หลังหลายพื้นที่เผชิญอิทธิพลทางอ้อมของพายุหลายลูกอย่างต่อเนื่อง เน้นย้ำเตรียมพร้อมรับมือสถานการณ์ฝนตกหนักในช่วงครึ่งแรกของเดือนตุลาคม และยืนยันเตรียมหาแนวทางชดเชยเยียวยาผู้ประสบภัยอย่างเหมาะสม
วันที่ 1 ตุลาคม 2568 นายภราดร ปริศนานันทกุล รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เดินทางเข้าพบคณะผู้บริหารสำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติ (สทนช.) เพื่อติดตามสถานการณ์น้ำและการบริหารจัดการน้ำ โดยมีนายดนุชา พิชยนันท์ เลขาธิการ สทนช. และนายไพฑูรย์ เก่งการช่าง รองเลขาธิการ สทนช. ให้การต้อนรับ ณ อาคารจุฑามาศ สำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติ
นายภราดร เปิดเผยว่า ทางนายอนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรี มีความห่วงใยต่อสถานการณ์น้ำของประเทศ ซึ่งขณะนี้อยู่ในช่วงวิกฤต เนื่องจากมีปริมาณฝนตกสะสมในลุ่มน้ำต่าง ๆ เป็นจำนวนมาก จากอิทธิพลทางอ้อมของพายุหลายลูกติดต่อกัน ส่งผลให้หลายพื้นที่เกิดปัญหาอุทกภัยและดินโคลนถล่ม สร้างความเสียหายต่อพี่น้องประชาชน จึงได้มอบหมายให้มีการติดตามสถานการณ์ปัจจุบันอย่างเร่งด่วน พร้อมหารือร่วมกับ สทนช. เกี่ยวกับแนวทางการบริหารจัดการน้ำในช่วงครึ่งแรกของเดือนตุลาคม เนื่องจากกรมอุตุนิยมวิทยาและสถาบันสารสนเทศทรัพยากรน้ำ (องค์การมหาชน) (สสน.)
คาดการณ์ว่า จะมีฝนตกเพิ่มขึ้นอีกครั้งจากอิทธิพลของหย่อมความกดอากาศต่ำ รวมถึงขณะนี้เขื่อนขนาดใหญ่ในภาคเหนือ ได้แก่ เขื่อนสิริกิติ์และเขื่อนภูมิพล มีแนวโน้มปริมาณน้ำใกล้เต็มความจุแล้ว โดยเฉพาะเขื่อนสิริกิติ์ที่มีความเสี่ยงน้ำล้น จึงอาจต้องปรับเพิ่มการระบายน้ำและส่งผลกระทบต่อพื้นที่ท้ายเขื่อน นอกจากนี้ มวลน้ำจากพื้นที่ตอนบนของประเทศจะไหลต่อเนื่องลงมาสมทบกับปริมาณน้ำในลุ่มน้ำเจ้าพระยา ทำให้เขื่อนเจ้าพระยาต้องเพิ่มการระบายน้ำ และอาจส่งผลกระทบเพิ่มเติมต่อพื้นที่ท้ายเขื่อนเจ้าพระยา ในจังหวัดพระนครศรีอยุธยา อ่างทอง สิงห์บุรี ปทุมธานี และนนทบุรี
ดังนั้นจึงได้เน้นย้ำให้ สทนช. ประสานกรมชลประทานเพื่อบริหารจัดการน้ำอย่างใกล้ชิด โดยเฉพาะในช่วง 15 วันนี้ โดยให้พิจารณาผันน้ำเข้าสู่ทุ่งที่เก็บเกี่ยวแล้วเสร็จ และต้องไม่กระทบต่อพื้นที่ชุมชน รวมถึงให้ติดตามข้อมูลคาดการณ์สภาพอากาศและปริมาณฝนที่จะตกเพิ่มในช่วงนี้ เพื่อประกอบการตัดสินใจบริหารจัดการน้ำทั้งในพื้นที่เหนือและใต้เขื่อนเจ้าพระยา ได้อย่างแม่นยำและมีประสิทธิภาพ เร่งระบายน้ำที่ท่วมขัง พร้อมทั้งปรับแผนการระบายน้ำของเขื่อนแต่ละแห่งให้สอดคล้องกัน เพื่อรักษาโครงสร้างเขื่อนให้มั่นคงแข็งแรง และลดผลกระทบให้เกิดแก่พี่น้องประชาชนในทุกพื้นที่น้อยที่สุ
นอกจากนี้ นายกรัฐมนตรียังให้ความสำคัญอย่างยิ่งต่อการให้ความช่วยเหลือผู้ได้รับผลกระทบ โดยกำชับให้มีการพิจารณาหลักเกณฑ์และมาตรการชดเชยเยียวยาที่เหมาะสม โดยยึดอัตราไม่ต่ำกว่าปีที่ผ่านมา คือ 9,000 บาทต่อครัวเรือน และจะมีการวางแนวทางช่วยเหลือเพิ่มเติมต่อไป ทั้งนี้ รัฐบาลขอให้พี่น้องประชาชนติดตามข้อมูลข่าวสารจากทางราชการอย่างใกล้ชิด และขอเป็นกำลังใจให้ทุกคนร่วมผ่านพ้นวิกฤตไปด้วยกันสำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติ