“ธรรมนัส” เล็งปลดล็อคกฎระเบียบการระบายน้ำ ควง 3 รัฐมนตรีเกษตรฯ ลุย 3 จังหวัดลุ่มน้ำเจ้าพระยา

“ธรรมนัส” นำทีมควง 3 รัฐมนตรีเกษตรฯ ลงพื้นลุย 3 จังหวัด ติดตามสถานการณ์ลุ่มน้ำเจ้าพระยา พร้อมเร่งหาแนวทางปลดล็อคกฎระเบียบการระบายน้ำ และสั่งการกรมชลประทานกำจัดวัชพืชให้เสร็จภายใน 1 เดือน

ร้อยเอก ธรรมนัส พรหมเผ่า รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ พร้อมด้วยนายอามินทร์ มะยูโซ๊ะ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ นายนเรศ ธำรงค์ทิพยคุณ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ และผู้บริหารกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ลงพื้นที่ติดตามสถานการณ์ลุ่มน้ำเจ้าพระยาและรับฟังปัญหาอุทกภัยในพื้นที่ และการบริหารจัดการน้ำของเขื่อนเจ้าพระยา จ.ชัยนาท เขื่อนป่าสักชลสิทธิ์ จ.ลพบุรี และเขื่อนพระราม 6จ.พระนครศรีอยุธยา

ร้อยเอก ธรรมนัส กล่าวว่า เรื่องสำคัญที่ควรแก้ไขคือ ระเบียบและหลักเกณฑ์ในการบริหารการระบายน้ำที่ต้องขออนุญาตจากสำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติ (สทนช.) หรือคณะกรรมการทรัพยากรน้ำแห่งชาติ (กนช.) หากยังต้องรอให้นายกรัฐมนตรีหรือรองนายกรัฐมนตรีที่กำกับดูแลอนุญาตถึง 3 วัน และการประชาสัมพันธ์อีก 3 วัน ซึ่งนานเกินไปและไม่ทันต่อสถานการณ์ที่เกิดขึ้น จึงต้องหารือกับนายกรัฐมนตรีเพื่อหาแนวทางแก้ไขเพื่อให้สอดคล้องกับสถานการณ์

สำหรับการแก้ไขปัญหาเฉพาะหน้า และการแก้ไขปัญหาในระยะยาว จำเป็นต้องมีการทบทวนกันใหม่ เพื่อไม่ให้เกิดน้ำท่วมซ้ำซาก จึงขอให้ทำงานร่วมกับผู้ว่าราชการจังหวัด สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรในพื้นที่ และหน่วยงานต่าง ๆ และที่สำคัญได้สั่งการให้เร่งดำเนินการกำจัดวัชพืชและสิ่งกีดขวางทางน้ำต่าง ๆ โดยให้เวลาแก้ไขปัญหาให้เร็วที่สุดภายใน 1 เดือน หากยังพบเห็นอยู่จะต้องมีคนรับผิดชอบ นอกจากนี้ ในช่วงฤดูน้ำแล้ง ได้สั่งการกรมชลประทานให้ประสานกับเจ้ากรมทหารช่าง จัดหางบประมาณในการขุดลอกเพื่อรองรับสถานการณ์ต่อไป

ด้าน นายนเรศ กล่าวว่า ขั้นตอนการขออนุญาตและการประชาสัมพันธ์ที่ต้องใช้เวลารวมกันถึง 6 วัน ถือว่าเป็นระยะเวลาที่ยาวนานเกินไป และกลายเป็นอุปสรรคสำคัญต่อการบริหารจัดการน้ำ แม้จะสามารถคาดการณ์บางปัจจัยล่วงหน้าได้ แต่ยังมีตัวแปรสำคัญที่ไม่สามารถคาดการณ์ได้ เช่น การเปลี่ยนแปลงของสภาพอากาศ และน้ำทะเลหนุน ซึ่งส่งผลกระทบต่อสถานการณ์น้ำโดยตรง หากขั้นตอนทางราชการล่าช้า จะยิ่งทำให้การแก้ไขปัญหาในพื้นที่ไม่ทันการณ์ จึงควรจะต้องไปแก้ไขหรือปลดล็อก เพื่อลดขั้นตอน และระยะเวลาให้สั้นลง เพื่อให้สามารถบริหารจัดการน้ำได้อย่างรวดเร็วและมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น

ทั้งนี้ สถานการณ์น้ำในลุ่มน้ำเจ้าพระยา ใน 4 เขื่อนหลัก ได้แก่ ภูมิพล สิริกิติ์ แควน้อยบำรุงแดน และป่าสักชลสิทธิ์ (ข้อมูล ณ วันที่ 26 ก.ย. 68) มีปริมาณน้ำ 21,152 ล้าน ลบ.ม. หรือ 85% จากความจุทั้งหมด 24,871 ล้าน ลบ.ม. ซึ่งสามารถรองรับน้ำได้อีก 3,719 ล้าน ลบ.ม.