กรมส่งเสริมการเกษตร ประกาศปี 69 เป็นปีแห่ง“จุดเปลี่ยน” งานส่งเสริม หวังสู่ฉากทัศน์ใหม่ เกษตรเพื่อภูมิอากาศ

กรมส่งเสริมการเกษตร พร้อมขานรับนโยบายกระทรวงเกษตรฯ ประกาศปี 2569 เป็นปีแห่ง “จุดเปลี่ยน” ของงานส่งเสริมการเกษตรไทย ภายใต้ความท้าทายรอบด้าน กำหนดวิสัยทัศน์ “สร้างรากฐานเกษตรเพื่อภูมิอากาศ” พร้อมย้ำเดินหน้ากลยุทธ์การเปลี่ยนผ่านเชิงระบบ เพื่อมุ่งมั่นสร้างระบบเกษตรที่สามารถปรับตัว​ต่อการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศได้อย่างยั่งยืน

วันที่ 22 กันยายน 2568 นายประยูร อินสกุล ปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์​ เป็นประธานการเปิดสัมมนาแนวทางการขับเคลื่อนการดำเนินงานส่งเสริมการเกษตร ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2569 พร้อมคณะผู้บริหาร และเจ้าหน้าที่กรมส่งเสริมการเกษตร เข้าร่วมกว่า 1,200 คน ณ โรงแรมเซ็นทารา ไลฟ์ ศูนย์ราชการและคอนเวนชันเซ็นเตอร์ แจ้งวัฒนะ​ กรุงเทพมหานคร

นายพีรพันธ์ คอทอง อธิบดีกรมส่งเสริมการเกษตร กล่าวว่า การขับเคลื่อนนโยบายของกรมส่งเสริมการเกษตร มุ่งเป้าหมายสำคัญให้สอดคล้องกับนโยบายสำคัญของร้อยเอกธรรมนัส พรหมเผ่า รองนายกรัฐมนตรี​ และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ โดยการสานต่อนโยบายสำคัญ “ตลาดนำ นวัตกรรมเสริม เพิ่มรายได้”
เน้นให้การขับเคลื่อนงานเกษตรต้องมีตลาดรองรับเป็นหลัก การนำนวัตกรรม เทคโนโลยี และการจัดการสมัยใหม่มาใช้​ จัดทำโครงการที่เห็นผลเป็นรูปธรรมในระยะสั้น

                                                                                   พีรพันธ์ คอทอง

เพื่อแก้ไขปัญหาตรงกับความต้องการของเกษตรกรจริง วางระบบติดตามผลและขยายผลสู่การพัฒนาระยะยาว กำหนดเป้าหมายเชิงนโยบายว่า “รายได้เกษตรกรต้องเพิ่มขึ้น 3 เท่า” บูรณาการมาตรการด้านการผลิต การตลาด และการพัฒนาศักยภาพคน รวมถึงมุ่งมั่นในการแก้ไขปัญหาและปราบปรามสินค้าเกษตรผิดกฎหมายและของเถื่อนอย่างจริงจัง และสร้างระบบบริหารจัดการที่โปร่งใส ตรวจสอบได้ และเป็นธรรมต่อเกษตรกรและให้ความสำคัญกับการสร้างและพัฒนาคนรุ่นใหม่ด้านการเกษตร ยกระดับศักยภาพบุคลากรในพื้นที่ให้เป็นกำลังสำคัญในการขับเคลื่อนนโยบาย

ทั้งนี้ ปี 2569 กรมส่งเสริมการเกษตรจะขับเคลื่อนภายใต้ “ฉากทัศน์ใหม่” โดยเจ้าหน้าที่ต้องก้าวจาก “ผู้ให้คำแนะนำ” ไปสู่ “ผู้นำการเปลี่ยนแปลง” ผ่านระบบส่งเสริมการเกษตรที่เท่าทันต่อการเปลี่ยนแปลงภูมิอากาศ (Climate Smart Extension System) อย่างเป็นรูปธรรม โดยใช้กลยุทธ์สองรางคู่ขนาน (Dual Track Strategy) เพื่อยกระดับและพัฒนาพื้นที่นำร่อง และขับเคลื่อน 22 โครงการ ผ่าน 5 กลยุทธ์หลักที่จะเป็นหัวใจ
ของการเปลี่ยนผ่านได้แก่

1. ระบบเกษตรที่เท่าทันสภาพภูมิอากาศ พัฒนาเกษตรแม่นยำ (Precision Agriculture) เพื่อใช้ทรัพยากรให้คุ้มค่า ลดต้นทุนการสูญเสีย รวมถึงการจัดการเศษวัสดุเพื่อลดการเผาในพื้นที่เกษตร การจัดทำระบบเตือนภัยดิจิทัลเพื่อรับมือกับความเสี่ยงด้านสภาพอากาศ

2. การป้องกันและควบคุมโรคแมลงศัตรูพืช ใช้ระบบพยากรณ์และการแจ้งเตือนล่วงหน้า ลดความเสียหาย
จากศัตรูพืช สร้างความเชื่อมั่นในความปลอดภัยด้านอาหาร

3. เครือข่ายทางการเกษตรเข้มแข็ง เสริมสร้างศักยภาพเกษตรกรและวิสาหกิจชุมชน เชื่อมโยงการผลิต การแปรรูป และการตลาดครบวงจร

4. กลไกบริหารจัดการตามระเบียบที่เกี่ยวข้อง ขับเคลื่อนภายใต้ระเบียบและพระราชบัญญัติที่เกี่ยวข้อง​ ใช้กลไกคณะกรรมการบริหารจัดการต่างๆ และมาตรการเชิงนโยบายเพื่อแก้ปัญหาผลผลิตล้นตลาด สร้างสมดุลด้านการผลิตและการตลาดอย่างยั่งยืน

5. การพัฒนางานอำนวยการและองค์กร ยกระดับสภาพแวดล้อมการทำงานให้ทันสมัย โปร่งใส สร้างระบบบริหารจัดการที่มีประสิทธิภาพ และเสริมความเป็นองค์กรคุณภาพ

อธิบดีกรมส่งเสริมการเกษตร กล่าวอีกว่า ในปี 2569 กรมส่งเสริมการเกษตรตั้งเป้าเชิงรูปธรรม ผ่าน 9 กลไกเพื่อเชื่อมโยงการขับเคลื่อนในพื้นที่ ผ่าน 22 โครงการ ได้แก่ 1. พัฒนาแปลงต้นแบบ Climate Smart Agriculture จำนวน 200 แปลงต้นแบบ ต่อยอดสู่การผลิตมูลค่าสูง เพิ่มประสิทธิภาพการผลิตเพิ่มขึ้น 20%, 2. ปรับเปลี่ยนพืชสร้างรายได้หลายทางพืชเป้าหมาย กาแฟ, กล้วยหอม, ถั่วเหลือง ให้เกิดผลตอบแทนจากการลงทุน (ROI) เพิ่มมากกว่า 25%

3. ยกระดับความปลอดภัยมาตรฐานส่งออก ดำเนินการผ่านคลัสเตอร์ GAP ระบบเตือนภัยโรคแมลง และตรวจสารตกค้างสม่ำเสมอ รวมถึงยกระดับการทำการเกษตรเพื่อให้เกษตรกรเข้าถึงและรองรับมาตรฐานสากล,4. สร้างฐานข้อมูลแปลงเกษตรแม่นยำ มีพิกัด GPS และระบบตรวจสอบย้อนกลับได้แบบเรียลไทม์,5. พัฒนาระบบเมล็ดพันธุ์คุณภาพสูง ทนทานต่อสภาพภูมิอากาศและโรคและแมลง อย่างน้อย 30 ชนิด,6. พัฒนาระบบสุขภาพพืช เชื่อมโยงแบบบูรณาการผ่านศูนย์จัดการศัตรูพืชชุมชน (ศจช.) เพื่อลดพื้นที่ระบาดโรคและแมลงศัตรูพืช 15% ลดความเสียหายจากศัตรูพืชมากกว่า 30%
7. พัฒนาเครือข่ายผู้ให้บริการทางการเกษตร (Agriculture Service Provider) เสริมทักษะการจัดการทางการเงินและการให้บริการกับผู้ให้บริการทางการเกษตร

8. ผลักดันสินค้าเกษตรพรีเมียม อย่างน้อย 100 แบรนด์ เสริมสร้างความสามารถในการแข่งขัน ของเกษตรกรและชุมชน พัฒนาภาพลักษณ์และจุดขายเฉพาะของสินค้าเกษตรและวิสาหกิจชุมชน ให้มีคุณค่าและเป็นที่จดจำ ออกแบบผลิตภัณฑ์ (Product Design) ยกระดับคุณภาพ บรรจุภัณฑ์ และมาตรฐานสินค้าให้ตรงกับความต้องการของผู้บริโภคยุคใหม่ ใช้ช่องทาง E-Commerce และตลาดสมัยใหม่ ขยายโอกาสทางการตลาดทั้งในและต่างประเทศ ผ่านแพลตฟอร์มออนไลน์และเครือข่ายค้าปลีกสมัยใหม่

9. พัฒนาเจ้าหน้าที่ส่งเสริมการเกษตร อย่างน้อย 80% เป็น Climate Smart Extension Officers สามารถใช้เทคโนโลยีดิจิทัลและการจัดการข้อมูลเพื่อการตัดสินใจ “การขับเคลื่อนงานของกรมส่งเสริมการเกษตร จะไม่ใช่เพียงอวสานของการเกษตรแบบเดิม แต่คือ​ การก้าวเข้าสู่ฉากทัศน์ใหม่ ที่เกษตรกรไทยสามารถปรับตัว แข่งขัน และเติบโตได้อย่างยั่งยืน ยึดเป้าหมายเกษตรกร สู่การยกระดับรายได้และคุณภาพชีวิตเกษตรกร รวมถึงการเห็นผลลัพธ์ที่เป็นรูปธรรม โปร่งใส และตรวจสอบได้ เพื่อความเชื่อมั่นของเกษตรกรและสังคม