กรมวิชาการเกษตร ชู “กล้วยน้ำว้าปากพนัง” พร้อมถ่ายทอดเทคโนโลยี เพื่อส่งเสริมให้เกษตรกรปลูกแซมในแปลงพืชเศรษฐกิจปลูกใหม่ เพื่อสร้างรายได้ก่อนเก็บเกี่ยวพืชหลัก เผยมีอัตลักษณ์โดดเด่นและมีลักษณะเฉพาะตัว ผิวผลสวย เปลือกบาง เนื้อแน่น ไส้เหลือง ไร้เมล็ด และรสชาติหวาน ตลาดยังต้องการสูง
นายภัสชญภณ หมื่นแจ้ง รองอธิบดีกรมวิชาการเกษตร ในฐานะโฆษกกรมวิชาการเกษตร เปิดเผยว่า ศูนย์วิจัยและพัฒนาการเกษตรนครศรีธรรมราช กรมวิชาการเกษตร ได้เดินหน้าส่งเสริมการผลิต “กล้วยน้ำว้าปากพนัง” ด้วยการถ่ายทอดเทคโนโลยีการจัดการสวนที่ถูกต้องและเหมาะสมแก่เกษตรกรในพื้นที่ เพื่อยกระดับคุณภาพผลผลิตและสร้างรายได้อย่างยั่งยืน โดยกล้วยน้ำว้าปากพนัง หรือที่รู้จักในชื่อ “กล้วยน้ำว้าลุ่มน้ำปากพนัง” เป็นพืชเศรษฐกิจท้องถิ่นที่มีความต้องการสูงในตลาด
ภัสชญภณ หมื่นแจ้ง
“กล้วยน้ำว้าปากพนัง” มีอัตลักษณ์โดดเด่นและมีลักษณะเฉพาะตัว ผิวผลสวย เปลือกบาง เนื้อแน่น ไส้เหลือง ไร้เมล็ด และรสชาติหวาน นอกจากนิยมบริโภคสดแล้ว ยังสามารถแปรรูปได้หลากหลาย ปัจจุบันมีเกษตรกรปลูก
จำนวน 486 ครัวเรือน พื้นที่รวมกว่า 1,295 ไร่ โดยเกษตรกรส่วนใหญ่จะปลูกแบบสวนหลังบ้านปลูกกระจัดกระจายทั่วไปไม่มีการดูแลเหมือนพืชหลัก หรือปลูกเป็นพืชแซมในแปลงมะพร้าวปลูกใหม่ และสวนปาล์มน้ำมันปลูกใหม่ เพื่อสร้างรายได้เสริมก่อนการเก็บเกี่ยวพืชหลัก
ปัจจุบันการผลิตกล้วยน้ำว้าปากพนัง ยังมีปริมาณผลผลิตที่ไม่เพียงพอต่อความต้องการบริโภคภายในประเทศ เนื่องจากเกษตรกรยังขาดองค์ความรู้และเทคโนโลยีด้านการจัดการสวนที่ถูกต้องเหมาะสมทำให้ผลผลิตด้อยคุณภาพ ซึ่งหากมีการนำเทคโนโลยีการผลิตกล้วยน้ำว้าของกรมวิชาการเกษตรมาปรับใช้จะทำให้สามารถเพิ่มผลผลิตกล้วยน้ำว้าปากพนังให้แก่เกษตรกรได้ ศูนย์วิจัยและพัฒนาการเกษตรนครศรีธรรมราช จึงได้ถ่ายทอดองค์ความรู้ด้านเทคโนโลยีการผลิตให้กับเกษตรกร
โดยเน้นการใช้ปุ๋ยเคมีตามความต้องการของพืช การตรวจวิเคราะห์ดิน และการใช้ปุ๋ยชีวภาพละลายฟอสเฟต เพื่อช่วยเพิ่มความเป็นประโยชน์ของฟอสฟอรัสในดิน ลดต้นทุนปุ๋ย และเพิ่มผลผลิตได้ถึง 10-15% นอกจากนี้ ยังมีการส่งเสริมการใช้ปุ๋ยชีวภาพไมคอร์ไรซา ซึ่งเป็นกลุ่มราที่ช่วยให้พืชดูดซับธาตุอาหารสำคัญได้ดีขึ้น โดยเฉพาะในดินที่มีปัญหาการตรึงฟอสเฟต พร้อมกับถ่ายทอดเทคนิคการตัดแต่งต้นและใบเพื่อกระตุ้นการเจริญเติบโตอย่างเหมาะสม
ด้านนายอุดมพร เสือมาก ผู้อำนวยการศูนย์วิจัยและพัฒนาการเกษตรนครศรีธรรมราช กล่าวว่า ได้ให้คำแนะนำเกษตรกรใช้ ปุ๋ยชีวภาพละลายฟอสเฟต รองก้นหลุม อัตรา 10 กรัม/หลุม หรือ โรยรอบทรงพุ่ม อัตรา 50-100 กรัม/ต้น โดยคลุกผสมกับปุ๋ยอินทรีย์โรยรอบทรงพุ่มแล้วกลบดิน ส่วนปุ๋ยชีวภาพอาร์บัสคูลาร์ไมคอร์ไรซา ให้รองก้นหลุม อัตรา 10 กรัม/ต้น หรือ โรยรอบทรงพุ่ม อัตรา 20-50 กรัม/ต้น แล้วพรวนดินกลบ
ตัดแต่งหน่อหลังปลูกประมาณ 3-4 เดือนหลังปลูก และประมาณ 7-8 เดือน หลังปลูกควรมีการไว้หน่อทดแทน 1-2 หน่อ โดยหน่อที่ 1 และที่ 2 ควรมีอายุห่างกันประมาณ 4 เดือน โดยเลือกหน่อที่อยู่ในทิศทางที่ตรงกันข้าม พร้อมกับให้คำแนะนำให้ตัดแต่งใบให้เหลือประมาณ 7–12 ใบ ต่อกอ เพื่อช่วยป้องกันการโค่นล้มของต้นกล้วยในช่วงออกปลี
อย่างไรก็ตาม กรมวิชาการเกษตรมีโครงการที่จะจัดทำแปลงทดสอบเทคโนโลยีการผลิตแบบเกษตรกรมีส่วนร่วม
ในพื้นที่นำร่อง เพื่อให้เกษตรกรสามารถเรียนรู้ ทดลอง และนำเทคโนโลยีไปปรับใช้ในสวนของตนเองได้จริง ซึ่งจะนำไปสู่การพัฒนาคุณภาพผลผลิตให้มีมาตรฐานและเพิ่มศักยภาพในการแข่งขันทางการตลาดในอนาคต เพื่อส่งเสริมและพัฒนาการปลูกกล้วยน้ำว้าอย่างยั่งยืน ยกระดับรายได้ของเกษตรกรในท้องถิ่น และสร้างความมั่นคงทางอาหารให้แก่ประเทศ
สำหรับเกษตรกรที่สนใจเทคโนโลยีการผลิตกล้วยน้ำว้าปากพนังสามารถสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ ศูนย์วิจัยและพัฒนาการเกษตรนครศรีธรรมราชโทรศัพท์ 0 7580 9709” นายอุดมพร กล่าว