เน้น 3 ปัจจัยหลัก เตรียมดินปลูกมันสำปะหลังคุณภาพ ให้ผลผลิตสูง สร้างรายได้ดี

กรมส่งเสริมการเกษตร แนะเตรียมดินปลูกมันสำปะหลัง เพิ่มผลผลิตคุณภาพ สร้างรายได้ดี ชี้ 3 ปัจจัยที่ต้องคำนึงถึง “ควรเลือกเนื้อดินร่วนหรือดินร่วนปนทราย-การไถระเบิดดินดานเป็นครั้งคราว-การตรวจวิเคราะห์ดิน” ระบุแปลงปลูกจะต้องมีค่าความเป็นกรด-ด่างอยู่ที่ pH 5 – 6  แนะกรณีค่าต่ำกว่ากำหนดให้ปรับปรุงดินด้วยปูนขาว ปูนมาร์ล โดโลไมท์ วัสดุอินทรีย์ หินฟอสเฟต และกรณีค่าสูงกว่ากำหนดให้ใช้ปุ๋ยแอมโมเนียมซัลเฟตแทนยูเรีย

นายวีรศักดิ์ บุญเชิญ รองอธิบดีกรมส่งเสริมการเกษตร กล่าวว่า มันสำปะหลังเป็นพืชที่ปลูกได้ตลอดทั้งปี สามารถปลูกได้แม้อยู่ในพื้นที่ที่มีความอุดมสมบูรณ์ต่ำ พื้นที่ปลูกมันสำปะหลังส่วนใหญ่อาศัยน้ำฝนเป็นหลัก ผลผลิตแต่ละพื้นที่จึงขึ้นอยู่กับปริมาณน้ำฝน และคุณลักษณะของดินที่ปลูกเป็นสำคัญ การเตรียมดินที่ดีจะช่วยให้หัวมันสำปะหลังเจริญเติบโตได้มีคุณภาพเต็มที่ และเพิ่มประสิทธิภาพในการดูดซึมน้ำและธาตุอาหาร ดังนี้

วีรศักดิ์ บุญเชิญ

1. ควรเลือกเนื้อดินร่วนหรือดินร่วนปนทราย ความลึกของหน้าดินมากกว่า 50 ซม. กรณีพื้นที่ปลูกมีหน้าดินตื้นกว่า 50 ซม. แต่อยู่ในเขตที่มีฝนมากก็สามารถปลูกได้ดี โดยใส่วัสดุอินทรีย์ เช่น ปุ๋ยหมัก กากมันสำปะหลังที่ผ่านกระบวนการหมักแล้ว หรือการใช้ปุ๋ยพืชสด เพื่อเพิ่มอินทรียวัตถุให้กับดิน

2. การไถระเบิดดินดานเป็นครั้งคราว จะช่วยทำให้ชั้นดินแตกตัว ไม่อัดแน่นเป็นชั้นแข็ง ช่วยปรับปรุงการระบายน้ำในดิน ช่วยในการเจริญเติบโตของมันสำปะหลังในช่วงฝนชุกและเพิ่มผลผลิต

3. การตรวจวิเคราะห์ดิน เพื่อให้ทราบว่าดินมีธาตุอาหารเพียงพอกับความต้องการของพืชหรือไม่ และนำมาใช้ประกอบการจัดการปรับปรุงดินหรือใส่ปุ๋ยให้เหมาะสมกับการปลูกมันสำปะหลัง ซึ่งจะช่วยให้ผลผลิตมีคุณภาพ ลดต้นทุนที่ไม่จำเป็น และมีรายได้เพิ่มขึ้น

โดยดินในแปลงปลูกจะต้องมีค่าความเป็นกรด-ด่างอยู่ที่ pH 5 – 6 กรณีค่าต่ำกว่ากำหนดให้ปรับปรุงดินด้วยปูนขาว ปูนมาร์ล โดโลไมท์ วัสดุอินทรีย์ หินฟอสเฟต และกรณีค่าสูงกว่ากำหนดให้ใช้ปุ๋ยแอมโมเนียมซัลเฟตแทนยูเรีย และหว่านผงกำมะถันปรับปรุงดิน ทั้งนี้ พื้นที่ปลูกมันสำปะหลังต้องไม่เป็นดินเค็ม หากสำรวจพบว่าดินมีความเค็มควรปรับเปลี่ยนไปปลูกพืชอื่น เช่น อ้อย ข้าว ยูคาลิปตัส หรือพืชทนเค็มอื่น

นายวีรศักดิ์ กล่าวอีกว่า พื้นที่ที่มีการปลูกมันสำปะหลังแล้ว การเตรียมดินปลูกในรอบต่อไป ควรไถพรวนให้มีความลึกระหว่าง 20-30 ซม. โดยไถกลบเศษเหลือของพืช เช่น ลำต้น เหง้า ใบและยอด ของมันสำปะหลังที่เหลือจากการเก็บเกี่ยว ไม่ควรเผาหรือเคลื่อนย้ายออกจากพื้นที่เพาะปลูก เพราะจะทำให้ธาตุอาหารในดินสูญหายไปเป็นจำนวนมาก

เมื่อคิดเป็นสัดส่วนของธาตุอาหารไนโตรเจน : ฟอสฟอรัส : โพแทสเซียม ในพื้นที่ 1 ไร่ ที่ถูกดูดไปอยู่ในส่วนต่าง ๆ หลายกิโลกรัม ประกอบด้วย หัวมัน 6 : 3 : 20 ต้นและใบ 10 : 2 : 9 รวมทั้งสิ้นเทียบเท่ากับปุ๋ยสูตร 15-7-18 ประมาณ 100 กิโลกรัมต่อไร่ หรือปุ๋ยจำนวน 2 กระสอบ ซึ่งหากเราเก็บเกี่ยวผลผลิตหัวมันสำปะหลังได้ทั้งหมด 1 ไร่ แต่เผาหรือขนย้ายต้นหรือใบไปทิ้งนอกแปลง ก็จะทำให้เสียโอกาสในการได้ธาตุอาหารกลับคือสู่ดินปลูกโดยไม่ต้องลงทุนซื้อปุ๋ยมาใส่เพิ่ม และการไถกลบเศษวัสดุการเกษตรยังเพิ่มความสามารถในการอุ้มน้ำในดินได้เป็นอย่างดี

ทั้งนี้เกษตรกรสามารถปลูกพืชปุ๋ยสดเพื่อบำรุงดินเพิ่มเติมได้ เช่น ปอเทือง หรือถั่วพุ่ม โดยใช้เมล็ดอัตรา 5 กิโลกรัมต่อไร่ โรยเป็นแถวระยะระหว่างแถว 50 เซนติเมตร หรือปลูกถั่วพร้า อัตรา 15 กิโลกรัมต่อไร่ ระยะระหว่างแถว 50-100 เซนติเมตร แล้วไถกลบเป็นปุ๋ยพืชสดเมื่อพืชออกดอกในขณะที่ดินยังมีความชื้น หลังจากนั้นทิ้งไว้ประมาณ 7 – 10 วัน ก่อนปลูกมันสำปะหลัง

อย่างไรก็ตาม การไถเตรียมดินครั้งแรก (ไถดะ) ควรไถดินในขณะที่ดินมีความชื้นพอเหมาะ ไม่แห้งหรือแฉะจนเกินไป เพื่อพลิกหน้าดินและทำลายวัชพืชและไข่ของแมลงศัตรูพืช โดยใช้ผาล 3 หรือผาล 4 หลังจากไถดะแล้ว ควรปล่อยให้ดินตากแดดเป็นเวลาอย่างน้อย 2 สัปดาห์ เพื่อลดปริมาณวัชพืช เพลี้ยแป้งและศัตรูพืชอื่น ๆ ที่อยู่ในดิน การไถเตรียมดินครั้งที่สอง (ไถแปร) ใช้ผาล 7 ไถขวางกับการไถครั้งแรก เพื่อพลิกดินชั้นล่างกลับขึ้นมา

นอกจากจะช่วยทำดินให้ร่วนซุยแล้ว ยังนำเอาธาตุอาหารที่ถูกชะล้างลงไปอยู่ดินชั้นล่างกลับขึ้นมาอยู่ในชั้นดินบนให้มันสำปะหลังนำไปใช้ได้อีก และช่วยให้ท่อนพันธุ์มันสำปะหลังที่ปลูกสัมผัสดินและความชื้นในดินได้ดี เมื่องอกเป็นต้นอ่อนแล้ว จะสามารถเจริญเติบโตอย่างรวดเร็วอยู่รอดได้ และให้ผลผลิตดี หากเป็นพื้นที่ลุ่มหรือหรือลาดเอียงควรขึ้นแปลงปลูกเป็นแบบยกร่องให้สูงสูง 20-30 เซนติเมตร กว้าง 80-100 เซนติเมตร เพื่อช่วยในการระบายน้ำ ป้องกันน้ำท่วมขัง และการเน่าเปื่อยของรากหัว นอกจากนี้ ควรขุดร่องระบายน้ำรอบแปลงเพื่อป้องกันการชะล้างหน้าดิน