ไม่ธรรมดา!! “เพาะเลี้ยงสาหร่ายผักกาดทะเล” อาชีพเสริมรายได้หลักล้านที่เมืองจันท์

โดย… ดลมนัส กาเจ

 

กว่า 3 ปีแล้วที่ศูนย์ศึกษาการพัฒนาอ่าวคุ้งกระเบนอันเนื่องมาจากพระราชดำริ อ.ท่าใหม่ จ.จันทบุรี ได้มีการศึกษา วิจัย และส่งเสริมการเพาะเลี้ยงสาหร่ายผักกาดทะเลให้กับเกษตรกรคนในชุมชนที่อยู่ตามแนวชายฝั่งทะเลโดยเฉพาะในพื้นที่ อ.แหลมสิงห์ จ.จันทบุรี มาเพาะเลี้ยงเพื่อเป็นอาชีพเสริม หลังจากที่หลายกิจล่มสลายจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 หรือโควิด-19 ปรากฏว่าปัจจุบันกลายเป็นอาชีพที่รายได้หลักให้กับชนในชุมชน จากที่เริ่มจากศูนย์กลายเป็นการสร้างได้หลักล้านบาท เป้าอีก 3 ปีจะมีเงินสะพัดเข่าชุมสู่งหลักสิบล้านบาทอย่างแน่นอน

กัญญารัตน์ สุนทรา ผู้อำนวยการศูนย์ศึกษาการพัฒนาอ่าวคุ้งกระเบนอันเนื่องมาจากพระราชดำริ จังหวัดจันทบุรี  บอกว่า สาหร่ายผักกาดทะเลเป็นสาหร่ายทะเลสีเขียว ที่มีโปรตีนสูงและมีคุณค่าทางโภชนาการ เหมาะสำหรับผู้บริโภคที่ใส่ใจสุขภาพ ยสามารถนำมาปรุงเป็นเมนูอาหารหลากหลายประเภททั้งอาหารคาว หวาน และน้ำดื่มเพื่อสุขภาพ อาทิ นำมาต้ม ผัด แกง หรือทอด และแปรรูปได้หลากหลาย

ที่สำคัญผักกากสาหร่ายทะเล มีคุณค่าทางโภชนาการที่โดดเด่น ไม่ว่าโปรตีน มีสูงถึง 25-30 กรัมต่อ 100 กรัม ใยอาหาร 9.79% มีกรดอะมิโนจำเป็นในสัดส่วน 37-39% ของกรดอะมิโนรวม  มีกรดไขมันกลุ่มโอเมก้า 3, 6 และ 9 โดยเฉพาะกรด EPA และ DHA ที่มีประโยชน์ต่อสุขภาพหัวใจและสมอง นอกจากนี้อุดมไปด้วยเกลือแร่ วิตามิน และสารต้านอนุมูลอิสระ แต่มีไขมันและพลังงานต่ำ เป็นต้น  จึงเหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการควบคุมน้ำหนัก และมองว่าสาหร่ายทะเลคืออาหารแห่งอนาคต

ดังนั้นลจึงเหมาะสำหรับการทำเกษตรในยุคปัจจุบัน สามารถเพาะเลี้ยงได้ง่ายและรวดเร็ว โดยใช้เวลาเพียง 3 สัปดาห์ก็สามารถเก็บเกี่ยวผลผลิตได้ นอกจากนี้ยังสามารถนำไปแปรรูปเป็นผลิตภัณฑ์ต่างๆ สร้างรายได้ให้กับเกษตรกรได้

การเพาะเลี้ยงสาหร่ายผักกาดทะเลกับการเกษตร:สามารถเพาะเลี้ยงได้ทั้งในบ่อซีเมนต์ บ่อดิน ถังน้ำพลาสติก แม้กระทั่งวัสดุเหลือที่กักเก็บน้ำได้  โดยใช้น้ำทะเลที่มีความเค็ม 25-30 ส่วนในพันส่วน อุณหภูมิ 25-30 องศาเซลเซียส และค่าความเป็นกรด-ด่าง (pH) 8-9  ควรอยู่ในร่มที่แสงว่าง และใช้น้ำระบบหมุนเวียนจะดีที่สุด

สำหรับที่ศูนย์ศึกษาการพัฒนาอ่าวคุ้งกระเบนอันเนื่องมาจากพระราชดำริ มีการเพาะเลี้ยงสาหร่ายผักกาดทะเล  2 ระบบคือใช้ปุ๋ยในการเพาะเลี้ยงมาจากการเลี้ยงสัตว์น้ำทั้งกุ้ง ปู ปลา โดยให้น้ำจากบ่อเลี้ยงสัตว์น้ำไหลสู่บ่อเพาะเลี้ยงสาหร่ายผักกาดทะเลหมุนเวียนตลอด 24 ชั่วโมง สาหร่ายผักกาดทะเล จะได้น้ำปุ๋ยจากเศษอาหารและมูลของสัตว์น้ำนั่นเอง อีกวิธีใช้น้ำหมักชีวภาพในการเพาะเลี้ยง   ใช้เวลาเพียง 3 อาทิตย์ก็สามารถเก็บผลผลิตได้แล้ว  ปัจจุบันสาหร่ายผักกาดทะเลสดราคาอยู่ที่กิโลกรัมละ 250-500 บาท แต่ถ้านำมาตาก หรืออบแห้งราคาสูงถึงกิโลกรัมละ 5,000 บาท

กัญญารัตน์  บอกอีกว่า ที่ศูนย์ศึกษาการพัฒนาอ่าวคุ้งกระเบนอันเนื่องมาจากพระราชดำริ มีการศึกษา วิจัย และส่งเสริมการเพาะเลี้ยงสาหร่ายผักกาดทะเล ในลักษณะเชิงรุก ทั้งการเพาะเลี้ยง การแปรรูปและหาตลาดให้ด้วย โดยนำความสำเร็จภายในศูนย์ฯ ที่มีทั้งเพาะเลี้ยง แปรรูปเป็นอาหารมากมายทั้งน้ำสาหร่ายผักกาดทะเล ข้าวเกียบ บะหมี่และอื่นหลายรายการ

จากความสำเร็จเหล่านี้ ทางวศูนย์ได้ ส่งเจ้าหน้าที่ลงพื้นที่ชุมชนเพื่อขยายผล อาทิ วิสาหกิจชุมชนจันทราบุรี ต.ปากน้ำแหลมสิงห์จันทบุรี  วิสาหกิจชุมชนธนาคารบ้านปลาธนาคารปู และกลุ่มแม่บ้านแปรรูปหอยนางรม เป็นต้น ซึ่งแต่ละกลุ่มนี้มีความเข้มแข็งที่ต่างกัน ไม่ว่าจะเป็นการแปรรูป ส่งเสริมการท่องเที่ยว ไปจนถึงการฟื้นฟูสิ่งแวดล้อมด้วย

ด้าน อัญชลี คมปฏิภาณ หัวหน้าฝ่ายวิจัยและพัฒนาผลิตภัณฑ์ รับผิดชอบโครงการเพาะเลี้ยงสาหร่ายผักกาดทะเล ประจำ ศูนย์ศึกษาการพัฒนาอ่าวคุ้งกระเบน อันเนื่องมาจากพระราชดำร บอกว่า สาหร่ายผักกาดทะเลมีลักษณะคล้ายผักกาดหอม แต่เติบโตในน้ำทะเล มีสีเขียวสดใส และมีคุณค่าทางโภชนาการสูง ซึ่งเป็นที่ยอมรับในฐานะ “ซุปเปอร์ฟู้ด” ซึ่งหลังจากที่ได้การส่งเสริมเกษตรกรตั้งแต่ปี 2564 ปรากฏว่าสามารถสร้างรายได้เป็นอย่างดี จากเดิมที ที่เริ่มจากศูนย์ แต่ตอนนี้บางแห่งสามารถสร้างรายได้หลักหลายล้านบาท

“ก่อนหน้าเราว่ากิจการในชุมเจอมรสุมของการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 หรือโควิด-19 หลายล่มสลายผู้ประกอบการกำลังจะจมน้ำตาย จึงมองว่าการส่งเสริมเพาะเลี้ยงสาหร่ายผักกาดทะเลแบบครบวง ก็น่าจะเป็นอีกหนึ่งเลือกที่จะชุบชีติคนในชุใชนได้ เลยเริ่มเมื่อปี 2564 ปรากฏว่าทุกอย่างดีต่อเนื่อง จนถึงวันนี้บอกได้เลยว่า จากที่เราต้องการให้เป็นอาชีพเสริม แต่กลับว่า เป็นอาชีพเสริมที่มีรายได้หลัก” อัญชลี  กล่าว (รายละเอียดในคลิป)