ชู ‘ศักดิ์ชัย ตันอริยะมีศิริกุล’ ต้นแบบบการเพาะเลี้ยงปลาสวยงามไทย สู่ตลาดโลก

กรมประมงประกาศเชิดชูเกษตรกรผู้เพาะเลี้ยงปลาสวยงามจากจังหวัดราชบุรี “ศักดิ์ชัย ตันอริยะมีศิริกุล”  เป็นแบบอย่างแห่งความสำเร็จ ผู้ซึ่งคว้ารางวัลเกษตรกรดีเด่นแห่งชาติด้านการประมง สาขาอาชีพเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำสวยงามและพรรณไม้น้ำ ประจำปี 2568 จากความมุ่งมั่นพัฒนาฟาร์มปลาทองคุณภาพมาตรฐานสู่ตลาดส่งออกระดับสากล ด้วยแนวคิดมุ่งเน้นการใช้ทรัพยากรอย่างรู้คุณค่า พร้อมยกระดับคุณภาพสายพันธุ์และการบริหารจัดการฟาร์ม ควบคู่กับการพัฒนาเทคโนโลยีที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม เพื่อขับเคลื่อนอุตสาหกรรมปลาสวยงามของไทยให้เติบโตอย่างยั่งยืน

นายบัญชา สุขแก้ว อธิบดีกรมประมง เปิดเผยว่า ที่ผ่านมากรมประมงได้ดำเนินการคัดเลือกเกษตรกรดีเด่นแห่งชาติด้านการประมงในระดับประเทศมาอย่างต่อเนื่อง ผ่านกระบวนการคัดกรองจากระดับจังหวัด สู่ระดับเขต และคัดเลือกจนถึงระดับประเทศอย่างรอบคอบและเข้มข้น เพื่อเฟ้นหาผู้ที่มีความรู้ความสามารถ มีจิตสำนึกด้านการอนุรักษ์ มีความคิดริเริ่มสร้างสรรค์ และมีบทบาทสำคัญในการเชื่อมโยงภาครัฐกับเกษตรกรในพื้นที่บนพื้นฐานของการพัฒนาที่ยั่งยืน อย่างนายศักดิ์ชัย ตันอริยะมีศิริกุล ตัวอย่างเกษตรกรที่ได้รับการคัดเลือกเป็นเกษตรกรดีเด่นแห่งชาติด้านการประมง สาขาอาชีพเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำสวยงามและพรรณไม้น้ำ ประจำปี 2568

                                                                  บัญชา สุขแก้ว 

นายศักดิ์ชัย เริ่มต้นประกอบอาชีพจากจุดเริ่มต้นที่ยากลำบาก จนประสบความสำเร็จอย่างสูงในปัจจุบัน มีผลผลิตรวมทั้งปีถึง 912,000 ตัว คิดเป็นมูลค่ากว่า 20 ล้านบาท โดยนายศักดิ์ชัยได้รับเกียรติสูงสุดในชีวิต จากการได้เข้ารับพระราชทานโล่รางวัลจากพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เนื่องในพระราชพิธีพืชมงคลจรดพระนังคัลแรกนาขวัญ ประจำปี 2568 เมื่อวันที่ 9 พฤษภาคม 2568 ที่ผ่านมา ซึ่งแสดงให้เห็นถึงความทุ่มเทในการพัฒนาธุรกิจ และยังมีบทบาทสำคัญในการถ่ายทอดองค์ความรู้ และสร้างเครือข่ายเกษตรกรรุ่นใหม่ ช่วยผลักดันให้ไทยก้าวขึ้นเป็นผู้นำการส่งออกปลาสวยงามในเวทีโลก ถือเป็นผู้นำและเกษตรกรดีเด่นอย่างแท้จริง

นายบัญชา กล่าวอีกว่า การเลี้ยงสัตว์น้ำสวยงามเป็นอุตสาหกรรมที่มีศักยภาพสูงในระดับสากล มีมูลค่าการค้าสัตว์น้ำสวยงามทั่วโลกสูงกว่า 10,000 ล้านบาท และประเทศไทยนับเป็นศูนย์กลางการผลิตปลาสวยงามที่สำคัญแห่งหนึ่งของโลก ด้วยจุดแข็งด้านภูมิศาสตร์และภูมิอากาศที่เหมาะสมต่อการเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำสวยงาม รวมถึงเกษตรกรไทยมีความเชี่ยวชาญในการพัฒนาสายพันธุ์ การบรรจุขนส่ง และการติดต่อทางการค้ากับต่างประเทศอย่างมีประสิทธิภาพ

โดยในปี 2567 มูลค่าการส่งออกสัตว์น้ำสวยงามของไทยสูงกว่า 1,000 ล้านบาท โดยเฉพาะ “ปลากัดไทย” ซึ่งได้รับการประกาศจากรัฐบาลให้เป็นสัตว์น้ำประจำชาติไทย สามารถสร้างรายได้เข้าสู่ประเทศกว่า 400 ล้านบาท ครองสัดส่วนการส่งออกมากที่สุด รองลงมาคือ ปลาทอง ปลาหางนกยูง ปลาสอด ปลาหมอสี ปลาออสการ์ และปลาอื่นๆ เพื่อส่งเสริมความมั่นคงและความยั่งยืนของอุตสาหกรรมนี้

ทางกรมประมงจึงได้จัดทำ “แผนปฏิบัติการพัฒนาสัตว์น้ำสวยงาม พ.ศ. 2566 – 2570” ครอบคลุมการพัฒนาในทุกมิติทั้งการเพาะเลี้ยง การตลาด ตลอดห่วงโซ่อุปทาน โดยมุ่งลดข้อจำกัด เพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขัน และวางรากฐานให้เกษตรกรไทยเติบโตอย่างมั่นคง ทั้งนี้ กรมประมงเชื่อมั่นว่า แผนปฏิบัติการนี้จะเป็นกลไกสำคัญในการขับเคลื่อนอุตสาหกรรมสัตว์น้ำสวยงามของไทยสู่อนาคตที่มั่นคง มั่งคั่ง และยั่งยืน พร้อมยกระดับเกษตรกรไทยให้เป็นผู้นำสำคัญในเวทีการค้าระดับโลก

สำหรับเกษตรกรที่ได้รับคัดเลือกเป็นเกษตรกรดีเด่นแห่งชาติในครั้งนี้ มิได้เป็นเพียงการยกย่องเชิดชูความมุ่งมั่นของบุคคลหนึ่งเท่านั้น แต่ยังสะท้อนถึงศักยภาพของเกษตรกรไทยที่สามารถพัฒนาสินค้าเกษตรให้มีมาตรฐานและเป็นที่ยอมรับในระดับสากล อีกทั้งยังเป็นแรงบันดาลใจให้แก่เกษตรกรรุ่นใหม่ในการเดินหน้าสร้างอาชีพที่มั่นคงและยั่งยืน พร้อมร่วมขับเคลื่อนเศรษฐกิจการเกษตรของประเทศให้เติบโตอย่างแข็งแกร่งต่อไป

ด้าน นายอำนาจ จีนขาวขำ ประมงจังหวัดราชบุรี กล่าวเสริมว่า จังหวัดราชบุรีถือเป็นแหล่งเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำสวยงามและพรรณไม้น้ำที่สำคัญของประเทศ โดยมีฟาร์มเพาะเลี้ยงมากกว่า 300 แห่ง และมีเกษตรกรผู้มีความรู้ ความสามารถจำนวนมากที่ขับเคลื่อนอุตสาหกรรมนี้อย่างจริงจัง ล่าสุดในปีนี้ นายศักดิ์ชัย ตันอริยะมีศิริกุล เกษตรกรจากจังหวัดราชบุรี ได้รับคัดเลือกเป็น “เกษตรกรดีเด่นแห่งชาติด้านการประมง สาขาอาชีพเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำสวยงามและพรรณไม้น้ำ” จากกรมประมง ซึ่งนับเป็นรางวัลอันทรงเกียรติ และสร้างความภาคภูมิใจให้กับเกษตรกรในพื้นที่อย่างยิ่ง อีกทั้งยังเป็นต้นแบบของเกษตรกรรุ่นใหม่ที่สามารถศึกษาและนำแนวทางไปพัฒนาต่อยอดธุรกิจ

                                                                  อำนาจ จีนขาวขำ
ส่วนเกณฑ์การคัดเลือกเกษตรกรดีเด่นแห่งชาติด้านการประมงที่สำคัญ ได้แก่ ต้องมีความคิดริเริ่ม สามารถฟันฝ่าอุปสรรคในการประกอบอาชีพ มีผลงานเป็นที่ประจักษ์ และสร้างความยั่งยืนในอาชีพอย่างแท้จริง โดยต้องเป็นอาชีพหลักที่สร้างรายได้มั่นคงแก่เกษตรกร มีความเป็นผู้นำ และเสียสละต่อส่วนรวม และฟาร์มต้องเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม ทั้งนี้ จังหวัดราชบุรียังคงมุ่งมั่นในการส่งเสริมและพัฒนาเกษตรกรในพื้นที่ เพื่อยกระดับสู่เวทีระดับชาติ พร้อมผลักดันอาชีพนี้ให้เติบโตอย่างยั่งยืน และสร้างรายได้อย่างมั่นคงให้กับคนในท้องถิ่น

ขณะที่นายศักดิ์ชัย ตันอริยะมีศิริกุล เกษตรกรดีเด่นแห่งชาติด้านการประมง สาขาอาชีพเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำสวยงามและพรรณไม้น้ำ ประจำปี 2568 เล่าถึงจุดเริ่มต้นของความสำเร็จในครั้งนี้ว่า เดิมครอบครัวมีฐานะไม่มั่นคง และได้รับผลกระทบทางเศรษฐกิจจากวิกฤตปี 2540 แต่ด้วยความมุ่งมั่นไม่ยอมแพ้ นำเงินเพียงไม่กี่ร้อยบาทมาลงทุนเลี้ยงปลาสวยงาม เรียนรู้จากประสบการณ์จริงและได้รับคำแนะนำ รวมถึงองค์ความรู้ด้านต่าง ๆ จากกรมประมง จนได้รับการรับรองมาตรฐานการจัดการฟาร์มเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำสวยงาม (GAP) การขึ้นทะเบียนสถานประกอบการเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำเพื่อการส่งออก (สอ.3) และการขึ้นทะเบียนสถานประกอบการรวบรวมสัตว์น้ำเพื่อการส่งออก (สอ.4) จากกรมประมง

                                                ศักดิ์ชัย ตันอริยะมีศิริกุล

นอกจากนี้ ยังมีการคิดค้นนวัตกรรม และนำเทคโนโลยีมาใช้ในการพัฒนาฟาร์มของตนเอง ในการเพิ่มผลผลิตและลดต้นทุน ด้วยการใช้ผ้ายางปูพื้นกับตาข่ายไนล่อนสองชั้น เพื่อป้องกันศัตรูของปลาทอง และให้เป็นที่สะสมอาหารธรรมชาติของปลา การติดตั้งระบบควบคุมน้ำในบ่อดินอัตโนมัติ เพื่อระบายน้ำเสียและเติมน้ำใหม่ให้ปลาได้เจริญเติบโตเร็วขึ้น รวมทั้งการติดตั้งแผงโซลาร์เซลล์ลดค่าไฟฟ้าและรักษาสิ่งแวดล้อม

ปัจจุบันทางฟาร์มดำเนินธุรกิจในนาม บริษัท เอสซี.กรุ๊ป อควาเรี่ยม จำกัด พัฒนาสายพันธุ์ปลาทองสีสันแปลกใหม่ เช่น ปลาทองสามสี และปลาทองสีขาว-ดำ (แพนด้า) เป็นต้น ซึ่งได้รับความนิยมจากกลุ่มผู้เลี้ยงปลาสวยงาม สามารถผลิตปลาทองคุณภาพสูง เพื่อจำหน่ายทั้งในประเทศและส่งออกไปยังกว่า 10 ประเทศทั่วโลก อาทิ สหรัฐอเมริกา แคนาดา สหราชอาณาจักร เนเธอร์แลนด์ จีน ญี่ปุ่น และเกาหลีใต้

ทั้งนี้โดยใช้ช่องทางตลาดทั้งออฟไลน์และออนไลน์ผ่าน TikTok, Instagram และ Facebook ในชื่อ Sakchaifarm มีรายได้สูงสุด/เดือนถึง 220,000 บาท พร้อมขยายกำลังการผลิตกำหนดเป้าหมายมูลค่าโดยประมาณมากกว่า 20 ล้านบาท/ปี และพัฒนาฟาร์มให้เป็นแหล่งเรียนรู้สำหรับเกษตรกรรุ่นใหม่ในอนาคตต่อไป