จะปลูกยางพาราต้องรู่!! ต้นกล้าติดตาเขียว-ชำถุง-บัดดิ้ง ต่างกันอย่างไร แบบไหนดีกว่ากัน?

ดลมนัส กาเจ

                                                               ซ้ายมิอชำถุง ขาวบัดดิ้ง

ช่วงนี้เป็นฤดูกาลเพาะปลูกพืช เป็นช่วงหน้าฝน เกษตรกรจะนิยมเพาะปลูกพืชชนิดต่างๆทั้งพืชผัก ข้าวนาปี  รวมถึงไม้ผล ไม้ยืนต้น เนื่องน้ำท่าจะอุสมบูรณ์จากหน้าฝนนั่นเอง จะทำให้พืชที่เพาะปลูกไว้เจริญงอกงาม แต่การปลูกพืชที่จะให้งอกงามดี ไม่เพียงแต่จะมีน้ำที่อุดมสมบูรณ์อย่างเดียว หากแต่เมล็ดพันธุ์ หรือต้นกล้าต้องดีและมีคุณภาพด้วย

ดุจเดียวกับการปลูก “ยางพารา” ซึ่งเป็นพืชเศรษฐกิจหลักของไทย ที่มีการส่งออกมากที่สุดของโลก ก็จะนิยมปลูกช่วงต้นฝนเช่นกัน แต่กระนั้นการที่จะปลูกยางพาราให้อัตรารอดสูงและมีคุณภาพนั้น การเลือกต้นกล้าก็มีความสำคัญเช่นกัน นั่นยหมายถึงอัตราการรอดหรือไม่ตาย ฉะนั้นต้องเลือกต้นกล้าที่ดีและให้ตรงกับสภาพของดินด้วย

                                                                                       ขำ นุชิตศิริภันทรา

นายขำ นุชิตศิริภันทรา เจ้าของพันธุ์ยาง “เคที 311” หรือ KT 311 ที่บ้านสุโซ๊ะ อ.ปะเหลียน จ.ตรัง และนายกสมาคมชาวสวนยางจังหวัดตรัง บอกว่า ต้นกล้ายางพาราที่นิยมปลูกมี 3  ประเภท คือนิยมมากที่สุดคือ ติดตาเขียว คือการนำตาจากต้นแม่พันธุ์ไปติดต้นต่อที่เพาะด้วยในแปลง เมื่อตายางพันธุ์งอกแล้ว จะตัดยอดต้นตอ แล้วดึงขึ้นมานำไปปลูกลงในแปลงได้เลย ที่นิยมมากที่สุดเพราะราคาถูกนั้นเอง

แปลงติดเขียว

อีกแบบหนึ่งเป็นต้นกล้า “ชำถุง” ก็เอาต้นกล้าที่ติดตาเขียวทั้งที่จะนำไปปลูกในแปลง แต่เรานำมาเพาะอนุบาลในถุงก่อนจนกว่าจะแตกรากฝอยใหม่ ใบขึ้น 2 ฉัตร จึงนำไปปลูกในแปลงได้ อย่างนี้เปอร์เซ็นรอดสูงมาก

แบบสุดท้ายเรีอกว่าต้น “บัดดิ้ง” ก็คือนำเมล็ดยางพาราจากต้นที่มีอายุมากกว่า 15 ปี มาเพาะในถุง 3 เมล็ด เมื่องอกแล้วให้เลือกเอาต้นที่สมบูรณ์ไว้ อีก 2 ต้นถอนทิ้ง จากนั้นนำตายางพันธุ์ดีมาติดตา พองอกออกใบ 2 ฉัตรขึ้นไป หรือสูง 35 ซม.จึงนำไปปลูกในแปลงได้ ถ้าเป็นยางพันธุ์ KT311 ปลูกได้ 4 ปีครึ่งก็กรีดเอาน้ำยางได้แล้ว ต้นบัดดิ้งถือว่าดีที่สุดรากแก้วลึก อัตรารอดเกือบ 100% แต่ราคาจะสูงกว่าตาเขียวราวเท่าตัว