กรมประมง…ประกาศ “ปิดอ่าวไทยรูปตัว ก” 2 ช่วง 3 เดือนครึ่งในพื้นที่ 8 จังหวัดยันถึง 15 ก.ย. 68 หลังพบว่าปีที่แล้วทำสัตว์น้ำเพิ่มขึ้นกว่า 4%

กรมประมง ประกาศใช้มาตรการบริหารจัดการทรัพยากรในช่วงสัตว์น้ำมีไข่ วางไข่ เลี้ยงตัวอ่อน พื้นที่อ่าวไทยตอนใน (อ่าวไทยรูปตัว ก) ประจำปี 2568 ใน 2 ห้วงระยะเวลา คือ ช่วงที่ 1 : วันที่ 15 มิถุนายน – 15 สิงหาคม 2568 และ ช่วงที่ 2 : วันที่ 1 สิงหาคม – 30 กันยายน 2568 ครอบคลุมพื้นที่ 8 จังหวัด ตั้งแต่ภาคตะวันตกเริ่มที่ จ.ประจวบคีรีขันธ์ สิ้นสุดที่ จ.ตราด  มั่นใจจะสามารถฟื้นฟูทรัพยากรสัตว์น้ำเพิ่มขึ้นได้มากกว่า 8,000 ตัน คิดเป็นร้อยละ 4.1 วอนขอความร่วมมือพี่น้องชาวประมงปฏิบัติตามกฎหมายอย่างเคร่งครัด 

นายบัญชา สุขแก้ว อธิบดีกรมประมง กล่าวว่า กรมประมงประกาศใช้มาตรการปิดอ่าวไทยรูปตัว ก ประจำปี 2568 จำนวน 2 ช่วง ดังนี้ • ช่วงที่ 1 : ตั้งแต่วันที่ 15 มิถุนายน – 15 สิงหาคม 2568 ในพื้นที่จับสัตว์น้ำอ่าวไทยตอนใน ฝั่งตะวันตก บางส่วนของจังหวัดประจวบคีรีขันธ์ เพชรบุรี สมุทรสงคราม และสมุทรสาคร โดยเริ่มจากอำเภอหัวหิน จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ และสิ้นสุดที่อำเภอเมือง จังหวัดสมุทรสาคร ครอบคลุมพื้นที่ประมาณ 2,350 ตารางกิโลเมตร และ • ช่วงที่ 2 : ตั้งแต่วันที่ 1 สิงหาคม – 30 กันยายน 2566 ในพื้นที่จับสัตว์น้ำอ่าวไทยตอนใน ด้านเหนือบางส่วนของจังหวัดสมุทรสาคร กรุงเทพมหานคร สมุทรปราการ ฉะเชิงเทรา และชลบุรี โดยเริ่มจากอำเภอเมือง จังหวัดสมุทรสาคร และสิ้นสุดที่อำเภอศรีราชา จังหวัดชลบุรี ครอบคลุมพื้นที่ประมาณ 1,650 ตารางกิโลเมตร

ทั้งนี้ อนุญาตให้ใช้เฉพาะเครื่องมือประมงบางชนิด ดังนี้ 1. อวนลากแผ่นตะเฆ่ที่ใช้ประกอบกับเรือกลลำเดียว ขนาดต่ำกว่า 20 ตันกรอส ให้สามารถทำการประมงได้เฉพาะในเวลากลางคืนและบริเวณนอกเขตทะเลชายฝั่ง,2. อวนติดตาปลาที่ใช้ประกอบเรือกล ขนาดต่ำกว่า 10 ตันกรอส และมีขนาดช่องตาอวนตั้งแต่ 5 เซนติเมตรขึ้นไป ความยาวอวนไม่เกิน 2,000 เมตร ต่อเรือประมง 1 ลำ ทั้งนี้ ห้ามทำการประมงโดยวิธีล้อมติด หรือวิธีอื่นใดที่คล้ายคลึงกัน,3. อวนติดตาชนิด อวนปู อวนกุ้ง อวนหมึก,4. อวนครอบ อวนช้อน หรืออวนยกหมึก ที่ใช้ประกอบกับเครื่องกำเนิดไฟฟ้า (เครื่องปั่นไฟ) ให้ทำการประมงนอกเขตทะเลชายฝั่ง

บัญชา สุขแก้ว

5. ลอบปูที่มีขนาดตาอวนโดยรอบตั้งแต่ 2.5 นิ้วขึ้นไป และใช้ทำการประมงไม่เกิน 300 ลูก ต่อเรือประมง 1 ลำ ให้ทำการประมงในเขตทะเลชายฝั่งได้,6. ลอบปูที่มีขนาดช่องตาท้องลอบ ตั้งแต่ 2.5 นิ้วขึ้นไป ให้ทำการประมงนอกเขตทะเลชายฝั่ง,7. เครื่องมือลอบหมึกทุกชนิด,8. ซั้งทุกชนิดที่ใช้ประกอบการทำประมงพื้นบ้านในเขตทะเลชายฝั่ง,9. เครื่องมือคราดหอย โดยต้องปฏิบัติตามประกาศกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ฯที่เกี่ยวข้องกับการกำหนดเครื่องมือทำการประมง รูปแบบ และพื้นที่ทำการประมงของเครื่องมือประมงคราดหอย ที่ห้ามใช้ทำการประมงในที่จับสัตว์น้ำร่วมด้วย

10. เครื่องมืออวนรุนเคย โดยต้องปฏิบัติตามประกาศกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ฯ ที่เกี่ยวข้องกับการกำหนดเงื่อนไขเกี่ยวกับรูปแบบของอวน ขนาดของเรือ วิธีที่ใช้ บริเวณพื้นที่ และระยะเวลาในการทำการประมงที่ผู้ทำการประมงด้วยเครื่องมืออวนรุนเคยที่ใช้ประกอบเรือยนต์ทำการประมงต้องปฏิบัติร่วมด้วย,11. จั่น ยอ แร้ว สวิง แห เบ็ด สับปะนก ขอ ลอบ ฉมวก,12. เครื่องมืออื่นใดที่ไม่ใช้ประกอบเรือกลขณะทำการประมง, 13. เรือประมงที่มีขนาดต่ำกว่า 10 ตันกรอส ประกอบกับเครื่องมือประมงที่ไม่ใช่เครื่องมือประมงประเภทอวนล้อมจับ อวนลากคู่ อวนครอบ อวนช้อน หรืออวนยกปลากะตัก ที่ใช้ประกอบเครื่องกำเนิดไฟฟ้า (เครื่องปั่นไฟ) เรือประกอบเครื่องกำเนิดไฟฟ้า (เรือปั่นไฟ) และเครื่องมือทำการประมงที่ห้ามใช้ทำการประมงตามประกาศที่ออกตามความในมาตรา 71 (1) แห่งพระราชกำหนด การประมง พ.ศ. 2558

สำหรับการใช้เครื่องมือในข้อ 2 3 4 5 6 และ 7 จะต้องปฏิบัติตามประกาศกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ฯ ที่ออกตามมาตรา 71 (1) และเครื่องมือที่ใช้ทำการประมงต้องไม่ใช่เครื่องมือที่กำหนดห้ามใช้ทำการประมงตามมาตรา 67 มาตรา 69 หรือ มาตรา 71 (1) แห่งพระราชกำหนดการประมง พ.ศ. 2558 และที่แก้ไขเพิ่มเติมโดยหากผู้ใดฝ่าฝืนต้องระวางโทษ ปรับตั้งแต่ห้าพันบาทถึงสามสิบล้านบาท ทั้งนี้ ขึ้นอยู่กับขนาดของเรือประมง หรือปรับจำนวนห้าเท่าของมูลค่าสัตว์น้ำที่ได้จากการทำการประมงแล้วแต่จำนวนใดจะสูงกว่าและต้องได้รับโทษทางปกครองอีกด้วย

จากข้อมูลทางวิชาการ พบว่า ในพื้นที่อ่าวไทยตอนใน หากพิจารณาจากอัตราการจับสัตว์น้ำจากเครื่องมืออวนล้อมจับก่อนและหลังมาตรการฯ พบว่า ในช่วงที่ 1 อัตราการจับสัตว์น้ำหลังมาตรการฯ เท่ากับ 6,845.89 กิโลกรัม/วัน สูงกว่าก่อนมาตรการฯ 2,152.47 กิโลกรัม/วัน เพิ่มขึ้น 2.18 เท่า ในช่วงที่ 2 อัตราการจับสัตว์น้ำหลังมาตรการฯ เท่ากับ 9,115.99 กิโลกรัม/วัน สูงกว่าก่อนมาตรการฯ 5,054.61 กิโลกรัม/วัน เพิ่มขึ้น 0.8 เท่า ซึ่งโดยภาพรวม การปิดอ่าวฯ ส่งผลให้การจับปลาเศรษฐกิจโดยรวมปรับตัวสูงขึ้นจากการเพิ่มของกลุ่มปลาผิวน้ำ เช่น ปลาสีกุนเขียว ปลาหลังเขียว และปลามงโกรย

ทั้งนี้ ลูกปลาทูที่เกิดใหม่ในพื้นที่อ่าวไทยตอนกลาง (ประจวบคีรีขันธ์ ชุมพร และสุราษฎร์ธานี) จะเริ่มเดินทางเข้าหาฝั่ง ซึ่งกรมประมงประกาศปิดต่อเนื่องบริเวณเขตชายฝั่งทะเลของจังหวัดประจวบคีรีขันธ์ ชุมพร และสุราษฎร์ธานี ในช่วงเดือนพฤษภาคม – มิถุนายน เพื่ออนุรักษ์ลูกปลาทูที่เกิดใหม่ รวมทั้งประกาศปิดเขตต่อเนื่องบริเวณปลายแหลมเขาตาม่องล่าย ถึงอำเภอหัวหิน จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ เพื่อรักษาปลาทูสาวให้หากินและเลี้ยงตัว จนมีขนาด 10 – 13 ซม.

หลังจากนั้นจะเริ่มเคลื่อนตัวเข้าสู่พื้นที่อ่าวไทยตอนใน (อ่าวไทยรูปตัว ก) ฝั่งตะวันตก ในช่วงเดือนมิถุนายน – กรกฎาคมในช่วงเวลาดังกล่าวพบปลาทูที่มีขนาด 13 – 14 ซม. ซึ่งเรียกว่า ปลาทูสาว และอยู่หากินในพื้นที่ จนโตเต็มวัย และเริ่มเคลื่อนเข้าสู่ก้นอ่าว หรือพื้นที่ปิดฝั่งเหนือช่วงเดือนสิงหาคม-กันยายน ในช่วงเวลาดังกล่าวพบปลาทูมีขนาด 15-17 ซม. ซึ่งเป็นขนาดพ่อแม่พันธุ์ ปลาทูกลุ่มนี้เลี้ยงตัวอยู่ในบริเวณอ่าวไทยตอนในจนถึงช่วงปลายปี เมื่อมีความพร้อมสืบพันธุ์ วางไข่ จึงเริ่มอพยพเคลื่อนตัวลงสู่แหล่งวางไข่ในอ่าวไทยตอนกลางอีกครั้ง ตามวงจรชีวิตปลาทู

ดังนั้น การดำเนินตามมาตรการจึงต้องมีต่อไป เพื่อคุ้มครองสัตว์น้ำ มิให้ถูกจับก่อนที่จะมีโอกาสได้ผสมพันธุ์และวางไข่ หรือถูกจับก่อนวัยอันควร ซึ่งเป็นการสร้างการเติบโตทางเศรษฐกิจบนฐานทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมให้สมดุลภายในขีดความสามารถของระบบนิเวศ และจะเป็นหนทางในการนำปลาทูกลับฟื้นคืนความสมบูรณ์ โดยที่ผ่านมาเกิดจากความร่วมมือของพี่น้องชาวประมงส่วนใหญ่ที่ปฏิบัติตามมาตรการฯ มาตลอด เมื่อภาครัฐดำเนินการและภาคประชาชนขานรับให้การสนับสนุนจะนำไปสู่ความสำเร็จ การขับเคลื่อนการบริหารจัดการการใช้ทรัพยากรให้เกิดความสมดุลกับกำลังการผลิตของธรรมชาติ สัตว์น้ำ และเกิดความยั่งยืนของการประกอบอาชีพประมง

กรมประมงต้องขอขอบคุณพี่น้องชาวประมงทุกคนมา ณ ที่นี้ และในห้วงระยะเวลาประกาศใช้มาตรการปิดอ่าวตัว ก ประจำปี 2568 จึงขอให้พี่น้องชาวประมงโปรดปฏิบัติตามกฎหมายและปฏิบัติตามคำแนะนำของเจ้าหน้าที่ภาครัฐอย่างเคร่งครัดเช่นเดิม และระมัดระวังการทำการประมง โดยให้ใช้เฉพาะเครื่องมือที่ประกาศให้สามารถทำการประมงได้เท่านั้น และขอฝากประชาสัมพันธ์มาตรการบริหารจัดการทรัพยากรในช่วงสัตว์น้ำมีไข่ วางไข่ เลี้ยงตัวอ่อน พื้นที่อ่าวไทยตอนใน (อ่าวไทยรูปตัว ก) ประจำปี พ.ศ. 2568 นี้ เพื่อสร้างความรู้ให้แก่พี่น้องชาวประมงและประชาชนทั่วไปได้รับทราบ และเข้าใจถึงความสำคัญของทรัพยากรสัตว์น้ำ ตลอดจนช่วยสร้างจิตสำนึกในการหวงแหนอนุรักษ์ทรัพยากรสัตว์น้ำที่มีอยู่ในท้องถิ่นของตน

ทั้งนี้ เนื่องจากการกำหนดฤดูปลาวางไข่ในช่วงปิดอ่าวไทยรูปตัว ก นั้น เป็นหนึ่งในมาตรการที่ใช้ควบคุมการทำการประมงเพื่อลดการทำลายทรัพยากรสัตว์น้ำตามกฎหมายเท่านั้น การอนุรักษ์ทรัพยากรที่แท้จริงต้องเริ่มที่ประชาชนทุกคน ซึ่งเป็นเจ้าของทรัพยากรธรรมชาติ และการตระหนักถึงคุณค่าของทรัพยากรที่มีอยู่รู้จักใช้ ร่วมกันดูแลและรักษาไว้ให้มีอยู่อย่างยั่งยืนเพื่อลูกหลานของตนต่อไป