กรมวิชาการเกษตรจับมือไทท้า ปั้นนักควบคุมโดรนพ่นสาร ตั้งเป้า 5,000 รายทั่วไทยในปี 70 พร้อมเล็งบังคับใช้ กม.ผู้รับจ้างพ่นวัตถุอันตรายทางอากาศ

สำนักวิจัยพัฒนาการอารักขาพืช  กรมวิชาการเกษตร  เดินหน้าขับเคลื่อนมาตรการควบคุมการใช้โดรนพ่นวัตถุอันตรายทางการเกษตร จัดอบรมหลักสูตร “ผู้ควบคุมการพ่นวัตถุอันตรายทางการเกษตรด้วยอากาศยาน” พร้อมเตรียมความพร้อมบังคับใช้กฎหมายควบคุมผู้รับจ้างพ่นสารฯ อย่างเป็นทางการ ภายในปี 2570 ตั้งเป้าครอบคลุมผู้ปฏิบัติงานกว่า 5,000 รายทั่วประเทศ

วันที่ 30 พฤษภาคม 2568 สำนักวิจัยพัฒนาการอารักขาพืช กรมวิชาการเกษตร จัดกิจกรรมอบรมนำร่อง หลักสูตร “ผู้ควบคุมการพ่นวัตถุอันตรายทางการเกษตรด้วยอากาศยาน”  ณ โรงแรมบายาสิตา จ.ขอนแก่น มีผู้เข้าร่วมกว่า 150 คน จากทั้งภาครัฐ ภาคเอกชน และเกษตรกรในพื้นที่ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ซึ่งเป็นแหล่งเพาะปลูกพืชเศรษฐกิจหลัก เช่น อ้อย ข้าว และมันสำปะหลังได้รับเกียรติจาก นางสาวปรียานุช ทิพยะวัฒน์ รองอธิบดีกรมวิชาการเกษตร เป็นประธานเปิดงาน

ทั้งนี้ได้รับความร่วมมือจากสมาคมการค้านวัตกรรมเพื่อการเกษตรไทย (ไทท้า) ที่ให้การสนับสนุน อุปกรณ์นิรภัยส่วนบุคคล (PPE) และจัดทำบัตรประจำตัวผู้ผ่านการอบรม ที่ลงทะเบียนในระบบ National Single Window (NSW) เพื่อการควบคุมและติดตามเป็นไปอย่างมีระบบและโปร่งใส นอกจากนี้ยังได้รับการสนับสนุนอย่างแข็งขันจาก คณะวิศวกรรมศาสตร์มหาวิทยาลัยขอนแก่น ที่นำผู้เข้าร่วมจากโครงการพัฒนาเครือข่ายธุรกิจและบริการโดรนทางการเกษตรเข้าร่วมอบรมอย่างเต็มที่ การดำเนินงานในครั้งนี้ ถือเป็นอีกหนึ่งก้าวสำคัญของประเทศไทยในการขับเคลื่อนนโยบาย “เกษตรดิจิทัล (Smart Agriculture)” อย่างมั่นคง ปลอดภัย และสอดคล้องกับมาตรฐานสากล โดยกรมวิชาการเกษตรมุ่งส่งเสริมให้การใช้เทคโนโลยีโดรนในภาคเกษตรกรรมดำเนินไปควบคู่กับการบังคับใช้กฎหมาย และการพัฒนาศักยภาพของผู้ปฏิบัติงานให้ทันสมัย ตอบโจทย์การเกษตรแห่งอนาคตได้อย่างยั่งยืน

นางสาวปรียานุช เปิดเผยว่า กรมวิชาการเกษตรในฐานะหน่วยงานที่รับผิดชอบตามพระราชบัญญัติวัตถุอันตราย พ.ศ. 2535 มีนโยบายชัดเจนในการยกระดับมาตรฐานการใช้วัตถุอันตรายทางการเกษตร โดยเฉพาะในกลุ่มผู้รับจ้างพ่นสาร ให้มีความรู้ความเข้าใจทั้งในด้านเทคนิคการใช้งานและข้อกฎหมายที่เกี่ยวข้องตามประกาศกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ พ.ศ. 2547 ได้กำหนดให้ผู้ที่มีวัตถุอันตรายชนิดที่ 2 หรือชนิดที่ 3 ไว้ในครอบครองเพื่อประกอบอาชีพรับจ้างพ่น ต้องผ่านการอบรมตามหลักสูตรที่กรมวิชาการเกษตรกำหนด และต้องเข้ารับการอบรมซ้ำทุก 5 ปี เพื่อให้สามารถยื่นขอใบอนุญาตมีไว้ในครอบครองซึ่งวัตถุอันตรายเพื่อใช้รับจ้างฉีดพ่น และประกอบกิจการฉีดพ่นวัตถุอันตรายทางการเกษตรด้วยอากาศยาน จากสำนักควบคุมพืชและวัสดุการเกษตร กรมวิชาการเกษตร ได้อย่างถูกต้องตามกฎหมาย รับผิดชอบต่อสังคม และสิ่งแวดล้อม ทั้งนี้ ผู้ฝ่าฝืนไม่ปฏิบัติตาม มีโทษปรับ หรือ จำคุก หรือทั้งจำทั้งปรับ ซึ่งกรมฯ ให้ความสำคัญอย่างยิ่งต่อการบังคับใช้กฎหมายควบคู่กับการเสริมสร้างองค์ความรู้ให้กับผู้ปฏิบัติงานในภาคเกษตรอย่างต่อเนื่อง

ด้านนางช่อทิพย์ ศัลยพงษ์ ผู้อำนวยการสำนักวิจัยพัฒนาการอารักขาพืช กล่าวเสริมว่า ปัจจุบันอากาศยานไร้คนขับ หรือ “โดรนเกษตร” ถูกนำมาใช้ในหลากหลายภารกิจทางการเกษตร เช่น การพ่นสาร ปุ๋ย ฮอร์โมน การหว่านเมล็ดพันธุ์ ตลอดจนการสำรวจและถ่ายภาพพื้นที่เพาะปลูก กรมวิชาการเกษตรจึงให้ความสำคัญอย่างยิ่งกับการวิจัยและการฝึกอบรม เพื่อให้ผู้ใช้งานสามารถนำเทคโนโลยีไปใช้ได้อย่างถูกต้อง ปลอดภัย ตามหลักวิชาการ และเกิดประสิทธิภาพสูงสุด การอบรมครั้งนี้จึงได้มีการปรับปรุงหลักสูตรให้ครอบคลุมองค์ความรู้ที่จำเป็น อาทิ การรู้จักศัตรูพืช การเลือกใช้สารป้องกันกำจัดศัตรูพืชอย่างเหมาะสม เทคนิคการพ่นด้วยอากาศยาน และความเข้าใจในข้อกฎหมายที่เกี่ยวข้อง โดยได้รับเกียรติจากวิทยากรผู้เชี่ยวชาญจากหลายหน่วยงานหลัก ได้แก่ สำนักวิจัยพัฒนาการอารักขาพืช สำนักควบคุมพืชและวัสดุการเกษตร สถาบันวิจัยพืชสวน และกองวิจัยพัฒนาปัจจัยการผลิตทางการเกษตร มาร่วมถ่ายทอดความรู้แก่ผู้เข้ารับการอบรมทั้งในภาคทฤษฎีและภาคปฏิบัติ”

ส่วนนายศรุต สุทธิอารมณ์ ที่ปรึกษากรมวิชาการเกษตร กล่าวว่า การนำเทคโนโลยีโดรนมาใช้ในการเกษตร ถือเป็นทางเลือกสำคัญในการแก้ไขปัญหาการขาดแคลนแรงงาน โดยเฉพาะในกลุ่มเกษตรกรสูงวัย ซึ่งเป็นกลุ่มที่มีสัดส่วนเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ท่ามกลางสถานการณ์โลกรวน ภูมิอากาศที่เปลี่ยนแปลง และความผันผวนทางเศรษฐกิจ เครื่องมือที่มีประสิทธิภาพและสามารถปรับตัวได้จึงเป็นสิ่งจำเป็นอย่างยิ่ง การฝึกอบรมด้านการใช้ โดรนเกษตรจึงไม่ใช่เพียงการสอนการใช้งานเทคโนโลยี แต่เป็นการสร้างความเข้าใจที่ถูกต้องในเชิงเทคนิค ความปลอดภัย และแนวทางปฏิบัติที่เหมาะสม เพื่อให้เกษตรกรสามารถใช้งานได้อย่างมีประสิทธิภาพ และสามารถพัฒนาไปสู่อาชีพที่มั่นคงและยั่งยืนในระยะยาว

ขระที่นายภรต ทับไกร ผู้อำนวยการบริหาร และ นางนงนุช ยกย่องสกุล ที่ปรึกษาสมาคมไทท้า กล่าวว่า “การจัดงานครั้งนี้เป็นการต่อยอดจากการเปิดตัวคู่มือ ‘มาตรฐานการปฏิบัติงานการพ่นสารด้วยอากาศยานไร้คนขับทางการเกษตร (โดรน)’ ซึ่งไทท้าร่วมจัดทำกับกรมวิชาการเกษตร เพื่อพัฒนานวัตกรรมโดรนให้เหมาะสมกับลักษณะพื้นที่ของเกษตรกร และเพิ่มโอกาสในการเข้าถึงบริการโดรนผ่านระบบออนไลน์ เพื่อเพิ่มผลผลิต ลดต้นทุน และลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม” สมาคมไทท้า ยังให้ความสำคัญกับความปลอดภัยในการปฏิบัติงาน โดยส่งเสริมให้นักบินโดรนสวมใส่อุปกรณ์ป้องกันภัยส่วนบุคคล (PPE) ทุกครั้ง เพื่อลดความเสี่ยงจากการสัมผัสสารเคมีและปกป้องสุขภาพของผู้ปฏิบัติงาน

นอกจากนี้ กรมวิชาการเกษตรร่วมกับไทท้า ยังสนับสนุนการจัดทำระบบออกบัตรประจำตัวผู้ผ่านการอบรมด้านการบินโดรนอย่างเป็นทางการ ภายใต้หลักเกณฑ์ที่ชัดเจนและเข้าถึงได้ง่าย เพื่อส่งเสริมการใช้งานโดรนพ่นสารให้ถูกต้องตามกฎหมายและมีประสิทธิภาพทั่วประเทศ

รศ.ดร.ขวัญตรี แสงประชาธนารักษ์ คณะวิศวกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยขอนแก่น กล่าวว่า ม.ขอนแก่นได้พัฒนาโครงการเครือข่ายธุรกิจและบริการโดรนเกษตรโดยได้รับทุนจากหน่วยบริหารและจัดการทุนด้านการพัฒนาระดับพื้นที่ (บพท.) ที่มุ่งบูรณาการทั้งโมเดลธุรกิจ แพลตฟอร์ม AI และภาคีเครือข่าย เพื่อสนับสนุนกรมวิชาการเกษตรและยกระดับศักยภาพนักบินโดรนเกษตรให้เข้าถึงความรู้และทักษะที่ลึกซึ้ง ลงพื้นที่ชุมชน เพื่อสร้างแบรนด์นักบินโดรนเกษตรที่มั่นใจ ปลอดภัย และมีความรับผิดชอบต่อสังคม รวมถึงการใช้สารเคมีอย่างถูกต้องและไม่ส่งผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม พร้อมทั้งมีการจัดอบรมการบังคับโดรนและซ่อมบำรุงโดรน รวมถึงจะมีการพัฒนาเครือข่ายศูนย์บริการโดรนเพื่อการเกษตรครบวงจร (Drone Hub) ภายใต้โครงการนี้ ร่วมกับสำนักงานส่งเสริมเศรษฐกิจดิจิตอล (Depa) เพื่อสร้างความเข้มแข็งให้กับเครือข่ายนักบินโดรนเกษตร พร้อมเสริมทักษะของผู้ให้บริการอย่างต่อเนื่อง

นายอิทธิพัทธ์ พันธุ์ศิลา นักบินโดรนการเกษตรรุ่นใหม่ และผู้เข้าร่วมการอบรม กล่าวว่า ปัจจุบันเทคโนโลยีโดรนพ่นสาร รวมถึงเทคนิคการเลือกใช้และผสมสารอารักขาพืช การวางแผนเส้นทางการบิน การรู้จักชนิดศัตรูพืช ตลอดจนข้อกฎหมายที่เกี่ยวข้อง เป็นองค์ความรู้สำคัญที่จำเป็นต่อการรับจ้างบินโดรนให้ได้มาตรฐานและมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น ผมจึงตัดสินใจเข้าร่วมการอบรมในครั้งนี้ ด้วยความตั้งใจที่จะพัฒนาตนเองและเครือข่ายให้สามารถใช้เทคโนโลยีโดรนทางการเกษตรได้อย่างถูกต้องและปลอดภัย” การบังคับเครื่องให้บินได้เพียงอย่างเดียวไม่เพียงพอ แต่ต้องมีความเข้าใจเชิงลึกทั้งในด้านอุปกรณ์ เทคนิค และหลักวิชาการต่าง ๆ การได้อบรมกับกรมวิชาการเกษตรจึงเป็นโอกาสอันมีค่า