กระทรวงเกษตรฯ ร่ายยาว อวดผลงานในรอบ 6 เดือน ภายใต้การนำของ “ดร.นฤมล”

                                                              ฉันทานนท์ วรรณเขจร 

กระทรวงเกษตรฯ ร่ายยาว อวดผลงานในรอบ 6 เดือน ภายใต้การนำของ “ศ.ดร.นฤมล ภิญโญสินวัฒน์”  ระบุรุกจัดตั้งศูนย์ข้าวชุมชนแล้ว 6,101 แห่ง มอบโฉนดเพื่อการเกษตร  54,566 แปลง โฉนดต้นยาง 10,161 แปลง เปิดประตูตลาดส่งออกสำเร็จ ไก่พื้นเมืองไปอินโดปลากะพงขาวไปจีน และปลาทองสู่ตลาดเม็กซิโก พร้อมรุกเป้าขยายตลาดยกระดับสู่ Agricultural Hub

นายฉันทานนท์ วรรณเขจร เลขาธิการสำนักงานเศรษฐกิจการเกษตร โฆษกกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ (ฝ่ายประจำ) กล่าวถึงผลงานกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ใน 6 เดือน ภายใต้นโยบายของ ศ.ดร.นฤมล ภิญโญสินวัฒน์  รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ โดยยึดหลักการทำงาน คือ พิทักษ์รักษาไว้ซึ่งสถาบันพระมหากษัตริย์ ว่า ได้ขับเคลื่อนโครงการอันเนื่องมาจากพระราชดำริต่างๆ ในปี 2568 กว่า 983 โครงการ และผลักดันการดำเนินงานสำคัญด้านการเกษตรตามนโยบายรัฐบาล ด้วยแนวคิด “ตลาดนำ นวัตกรรมเสริม เพิ่มรายได้” มุ่งยกระดับการทำเกษตรแบบดั้งเดิมให้เป็นเกษตรทันสมัย ยกระดับคุณภาพชีวิตและรายได้ของเกษตรกร

โดยสานต่อนโยบายการดำเนินงานของ ร้อยเอกธรรมนัส พรหมเผ่า อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ จนเกิดผลสำเร็จเป็นรูปธรรม มีผลการดำเนินงานกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ รอบ 6 เดือน   ปี 2568 (กันยายน 2567 – มีนาคม 2568) ศ.ดร.นฤมล ภิญโญสินวัฒน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ได้ให้ความสำคัญ อาทิ

ด้านการบริหารจัดการน้ำ  ซึ่งเป็นพื้นฐานหัวใจสำคัญของการเกษตร โดยประสบความสำเร็จในการบริหารจัดการน้ำฤดูแล้งในพื้นที่ชลประทานทั่วประเทศ 29,578 ล้าน ลบ.ม.  เฉพาะลุ่มน้ำเจ้าพระยา จัดสรรน้ำรวม 9,902 ล้าน ลบ.ม. เพื่อสนับสนุนกิจกรรมการอุปโภค-บริโภค รักษาระบบนิเวศ เกษตรกรรม และอุตสาหกรรม ได้อย่างเพียงพอ ไม่มีพื้นที่ในเขตชลประทานประสบปัญหาขาดแคลนน้ำ และสำหรับการเพาะปลูกข้าวนาปรังปี 2567/68 กรมชลประทานดำเนินเป็นไปตามเป้าหมายที่กำหนดไว้ โดยทั้งประเทศ เพาะปลูกนาปรัง 10.01 ล้านไร่ เก็บเกี่ยวแล้วกว่า 7.57 ล้านไร่ ในส่วนของลุ่มน้ำเจ้าพระยา เพาะปลูกนาปรัง  6.35 ล้านไร่ เก็บเกี่ยวแล้วกว่า 6.05 ล้านไร่ โดยไม่มีพื้นที่การเกษตรในเขตชลประทานได้รับความเสียหาย ส่วนภาพรวมสถานการณ์น้ำในอ่างเก็บน้ำทั่วประเทศ มีปริมาณน้ำสำรองช่วงต้นฤดูฝนปี 2568 จำนวน 19,914 ล้าน ลบ.ม. ซึ่งเพียงพอสำหรับอุปโภค-บริโภค รักษาระบบนิเวศ การเกษตรในพื้นที่ลุ่มต่ำ

                                                         ศ.ดร.นฤมล ภิญโญสินวัฒน์ 

การเดินหน้าจัดตั้งศูนย์ข้าวชุมชน ซึ่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรฯ ให้ความสำคัญและตั้งเป้าเพื่อเป็นรากฐาน ในการส่งเสริมและพัฒนาการผลิตข้าว เปิดโอกาสให้เกษตรกรผู้ปลูกข้าวมีส่วนร่วมในการบริหารจัดการเกี่ยวกับการพัฒนาข้าวด้วยตนเอง ช่วยให้ชุมชนและองค์กรชาวนาเกิดความเข้มแข็ง โดยขณะนี้มีศูนย์ข้าวชุมชนทั้งหมด 6,101 แห่ง 2,928 ตำบล ผลิตเมล็ดพันธุ์ข้าวคุณภาพดีได้ 280,000 ตัน มีการจัดสรรเมล็ดพันธุ์ข้าวให้เกษตรกร 799 แห่ง 1,794.2 ตัน  ซึ่งพันธุ์ข้าว ที่ขอรับการสนับสนุนมากที่สุด ได้แก่ ขาวดอกมะลิ 105 กข6 และ กข79 ถ่ายทอดองค์ความรู้และนวัตกรรม 16,061 ราย รวมทั้งสนับสนุนครุภัณฑ์ชุดเครื่องคัดทำความสะอาดเมล็ดพันธุ์ข้าวพร้อมอุปกรณ์ 97 ชุด ทำให้เกิด “กลุ่มวิสาหกิจชุมชนเมล็ดพันธุ์ข้าว” และชาวนาอาสา 139,668 ราย ส่งผลให้ผลผลิตข้าวเฉลี่ยต่อไร่เพิ่มขึ้นจาก 450 กิโลกรัม เป็น 500 กิโลกรัม ทั้งนี้ กระทรวงเกษตรฯ มีเป้าหมายจัดตั้งศูนย์ข้าวชุมชน ให้ได้ครบ 12,500 แห่ง ภายในปี 2570

การเปิดตลาดส่งออกสินค้าเกษตร ผลักดันเปิดประตูขยายการส่งออกสินค้าเกษตร สร้างโอกาสให้เกษตรกรไทย โดยด้านพืช กรมวิชาการเกษตร ได้ยื่นคำขอเปิดตลาดส่งออกสินค้าพืช 3 รายการ (อยู่ระหว่างรอผลพิจารณาจากประเทศคู่ค้า) ได้แก่ ใบชาแห้งไปยังสาธารณรัฐอินโดนีเซีย ใบกระท่อมแห้งไปยังสาธารณรัฐอินเดีย และผลลำไยสดไปยังสาธารณรัฐฟิลิปปินส์ นอกจากนี้ ในส่วนของทุเรียนไทย มีนโยบายในการกำกับดูแลควบคุมคุณภาพทุเรียนทั้งระบบ โดยเฉพาะตลาดจีน  ซึ่งเป็นตลาดส่งออกทุเรียนสำคัญ ปัจจุบันมีห้องปฏิบัติการตรวจสอบสาร Basic Yellow 2 (BY2) สำหรับทุเรียนส่งออกที่ได้รับการรับรองจากสำนักงานศุลกากรจีน (GACC) แล้วจำนวน 12 แห่ง และห้องปฏิบัติการทดสอบสินค้าเกษตร และอาหารด้านพืชที่กรมวิชาการเกษตรยอมรับความสามารถในรายการทดสอบแคดเมียมในทุเรียน 13 แห่ง

ด้านปศุสัตว์ เปิดตลาดส่งออกไก่พื้นเมืองมีชีวิต (Ayam Bangkok) ไปยังสาธารณรัฐอินโดนีเซีย โดยคาดว่าจะมีปริมาณการส่งออกไม่ต่ำกว่า 12,000 ตัว คิดเป็นมูลค่าไม่น้อยกว่า 300 ล้านบาทต่อปี และด้านประมง เปิดตลาดส่งออกสินค้าปลากะพงขาวไปยังสาธารณรัฐประชาชนจีน ถือเป็นความสำเร็จสร้างโอกาสให้เกษตรกรและผู้ประกอบการไทยสามารถขยายตลาดสินค้าประมงคุณภาพ โดยมีเป้าหมายในการส่งออก 50,000 ตัน/ปี จัดทำระเบียบกรมประมงว่าด้วยการขึ้นทะเบียนฟาร์มเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำเพื่อการบริโภคสำหรับส่งออกไปยังสาธารณรัฐประชาชนจีน พ.ศ. 2568 และประกาศใช้แล้วเมื่อวันที่ 1 เมษายน 2568 อีกทั้งยังประสบความสำเร็จในการเปิดตลาดส่งออกสินค้าปลาทองมีชีวิตจากไทยไปยังสหรัฐเม็กซิโก

สำหรับ 6 เดือนหลังจากนี้ในปี 2568 กระทรวงเกษตรฯ ยังได้เตรียมเปิดแนวทางเพื่อขยายตลาดส่งออกเพิ่มเติม อาทิ  การเปิดตลาดส่งออกเนื้อสัตว์ปีกดิบ เนื้อสุกร และผลิตภัณฑ์ไปยังฟิลิปปินส์ เปิดตลาดส่งออกเนื้อสุกรแช่เย็นและแช่แข็งไปยังประเทศสิงคโปร์และมาเลเซีย การเปิดตลาดผลไม้ระหว่างไทยและญี่ปุ่น การเปิดตลาดส้มโอจากไทยไปนิวซีแลนด์ และการเจรจาแก้ไขปัญหาสินค้าเกษตรและอาหารส่งออกจากไทยไปจีน

การจัดที่ดินทำกิน อีกหนึ่งนโยบายการสำคัญในการช่วยเหลือพี่น้องเกษตรกรให้มีสิทธิและที่ดินทำกิน โดยมีการออกเอกสารสิทธิเข้าทำประโยชน์ในเขตปฏิรูปที่ดิน (ส.ป.ก. 4-01) ในพื้นที่ 66 จังหวัด เกษตรกร 17,452 ราย รวม 210,448 ไร่ ออกหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (กสน.3 และ กสน.5) ให้แก่สมาชิกนิคมสหกรณ์ 112 ราย รวม 136 แปลง จำนวน 954 ไร่ รวมทั้งปรับปรุง ส.ป.ก.4-01 เป็นโฉนดเพื่อการเกษตร เพื่อสร้างมูลค่าในที่ดินและเพิ่มช่องทางการเข้าถึงแหล่งเงินทุน โดยมอบโฉนดเพื่อการเกษตร 42,973 ราย รวม 54,566 แปลง จำนวน 577,109 ไร่ โดย 6 เดือนหลังจากนี้ มีเป้าหมายจะออกเอกสารสิทธิเข้าทำประโยชน์ในเขตปฏิรูปที่ดิน (ส.ป.ก. 4-01) จำนวน 37,000 ราย รวม 240,000 ไร่ และตั้งเป้าสำหรับผู้ยื่นคำขอโฉนดเพื่อการเกษตร 1,066,643 แปลง ภายในปี 2568

นอกจากนี้ ในส่วนของโครงการโฉนดต้นยางพาราเพื่อเป็นหลักประกันสินเชื่อ ได้มอบโฉนดต้นยางพารา เพื่อเป็นหลักประกันสินเชื่อให้แก่เกษตรกรชาวสวนยาง ในพื้นที่นำร่องทั่วประเทศ รวมทั้งสิ้น 10,161 แปลง ใช้เป็นหลักทรัพย์ค้ำประกันการขอสินเชื่อจากสถาบันการเงินได้ สร้างมูลค่าเพิ่มให้สวนยางพารา 270 – 457 บาท/ต้น หรือ 18,900 – 31,990 บาท/ไร่ (เฉลี่ย 70 ต้น/ไร่) ทั้งนี้ มีเป้าหมายปีงบประมาณ 2568 รวมทั้งสิ้น 529,650 แปลง

การปราบปรามการลักลอบนำเข้าสินค้าเกษตรผิดกฎหมาย กระทรวงเกษตรฯ ได้เอาจริงและเข้มงวดมาโดยตลอด ผ่านการดำเนินงานของหน่วยเฉพาะกิจพญานาคราชเพื่อปราบปรามการกระทำผิดกฎหมาย ด้านพืช กรมวิชาการเกษตร  ออกตรวจพื้นที่ที่มีความเสี่ยงต่อลักลอบนำเข้า/ส่งออกสินค้าเกษตรผิดกฎหมาย ณ จุดผ่อนปรนการค้า 4 แห่ง และจุดผ่านแดนถาวร 2 แห่ง ไม่พบการกระทำผิดกฎหมาย พร้อมทั้งการยางแห่งประเทศไทย ได้ลงพื้นที่เพื่อตรวจสอบชนิด/ปริมาณยางพารา ณ ด่านชายแดน โดยในระยะต่อไปมีนโยบายจัดเก็บค่าบริการ กรณีมีการนำยางผ่านเข้ามาในราชอาณาจักรเพื่อผ่านแดน ซึ่งจะจัดทำประชาพิจารณ์เพื่อรับฟังความคิดเห็นจากผู้มีส่วนได้ส่วนเสียในเรื่องอัตราค่าบริการตามร่างประกาศการยางแห่งประเทศไทย เรื่อง อัตราค่าบริการตรวจรับรองชนิดหรือประเภทของยางนำผ่านราชอาณาจักร เมื่อวันที่ 26 พฤษภาคม 2568 และดำเนินการตามขั้นตอน เพื่อประกาศใช้ในระยะต่อไป

ด้านปศุสัตว์ ตรวจสอบสินค้าปศุสัตว์นำเข้าทั้งทางเรือ ทางอากาศ และทางบก รวม 20,024 ครั้ง โดยกรมปศุสัตว์ ได้มีการจัดเจ้าหน้าที่ดำเนินการตรวจสอบและปราบปรามสินค้าปศุสัตว์ผิดกฎหมายทุกประเภททั้งสัตว์มีชีวิต ซากสัตว์     อาหารสัตว์ และยาสัตว์ มีผลงานบังคับใช้กฎหมาย รวม 585 คดี รวมมูลค่ากว่า 195.220 ล้านบาท และ ด้านประมง ตรวจสอบเฝ้าระวัง ป้องกัน การลักลอบการนำเข้า และส่งออกสินค้าประมง 28,451 ครั้ง  ตรวจสอบสินค้าสัตว์น้ำนำเข้า        ทางด่านตู้คอนเทนเนอร์ 1,215 ตู้  ดำเนินคดีตามกฎหมาย 78 คดี มูลค่า 36.20 ล้านบาท

ด้านสิ่งแวดล้อม การแก้ไขปัญหา PM2.5 เป็นเรื่องสำคัญอย่างมากที่กระทรวงเกษตรฯ มุ่งดำเนินการ โดยกรมฝนหลวงและการบินเกษตร ได้จัดตั้งหน่วยปฏิบัติการดัดแปรสภาพอากาศ เพื่อบรรเทาฝุ่นละอองขนาดเล็ก (PM 2.5) 10 หน่วย ซึ่งขึ้นปฏิบัติการ 145 วัน (ระหว่าง 2 ธันวาคม 2567 – 30 เมษายน 2568) รวม 2,690 เที่ยวบิน ในพื้นที่กรุงเทพมหานคร และปริมณฑล ภาคเหนือ 15 จังหวัด และภาคตะวันออกเฉียงเหนือ 11 จังหวัด ทำให้ปริมาณฝุ่น PM2.5 ลดลงถึงร้อยละ 70.18 กรมพัฒนาที่ดิน ส่งเสริมการไถกลบและผลิตปุ๋ยอินทรีย์เพื่อลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก สามารถลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ ได้ 12,233 ตัน ลดการเกิดฝุ่นละออง PM10 ได้ 126.31 ตัน และ ลด PM2.5 ได้ 114.76 ตัน

อีกทั้งสถาบันวิจัยและพัฒนาพื้นที่สูง (องค์การมหาชน) ได้ร่วมกับชุมชนบนพื้นที่สูงในพื้นที่โครงการพัฒนาพื้นที่สูงแบบโครงการหลวง 44 แห่ง หน่วยงานที่เกี่ยวข้องทั้งภาครัฐและเอกชน ปรับระบบแบบเดิมที่ต้องเผา เป็นระบบเกษตรทางเลือก ที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมและมีตลาดรองรับผลผลิต สามารถลดจุดความร้อน Hotspot ในพื้นที่เกษตร ระหว่าง 1 ตุลาคม 2567 – 30 เมษายน 2568 ลงเหลือ 385 จุด (คิดเป็นร้อยละ 52.70 จาก ปี 2567 ที่มีถึง 814 จุด) และยังคงมุ่งมั่นในการขยายผลความสำเร็จไปยังพื้นที่สูงอื่นๆ ต่อไป

สำหรับกรมส่งเสริมการเกษตร ดำเนินการส่งเสริมการหยุดเผาในพื้นที่การเกษตร ส่งผลให้จุดความร้อน (Hotspot) พื้นที่เกษตรในประเทศไทย ระหว่างเดือน มกราคม – เมษายน 2568 เหลือจำนวน 2,886 จุด (ลดลงจำนวน 420 จุด คิดเป็นร้อยละ 12.70 เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปี 2567 ที่มีจำนวน 3,306 จุด) โดยภาพรวมสามารถลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกรวม 80,836 tCO2eq  และด้านเศรษฐกิจซึ่งส่งเสริมการปลูกพืชใช้น้ำน้อยแทนการทำนาปรังช่วยเกษตรกรมีรายได้จากการขายผลผลิต 1,000 – 29,539 บาท/ไร่ ซึ่งขึ้นอยู่กับชนิดพืชที่เกษตรกรเลือกเพาะปลูก

ทั้งนี้ ระยะต่อไป 6 เดือนหลังจากนี้ จะเดินหน้ารณรงค์พื้นที่การเกษตรที่ไม่เผารวมไม่น้อยกว่า 66,000 ไร่ เกษตรกร 16,500 ราย และกิจกรรมปลูกพืชใช้น้ำน้อย พื้นที่รวมไม่น้อยกว่า 20,000 ไร่ เกษตรกรเป้าหมาย 5,000 ราย โดยคาดว่าจะสามารถลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกรวม 95,960 tCO2eq และเกษตรกรจะมีรายได้จากการจำหน่ายสินค้าคาร์บอนต่ำเพิ่มขึ้นอย่างน้อยร้อยละ 5 จากรายได้ปี 2567

นอกจากนี้ กระทรวงเกษตรฯ ยังขับเคลื่อนดำเนินงานต่างๆ อีกมากมาย และเตรียมพร้อมในด้านต่างๆ ทั้งการเร่งป้องกัน แก้ไข ฟื้นฟูรับมือภัยแล้ง ภัยธรรมชาติ การลดต้นทุน เพิ่มผลผลิต เร่งแก้ไขปัญหาหนี้สิน การพัฒนาระบบการประกันภัยภาคการเกษตร ซึ่งกำลังเดินหน้า นำร่องใช้เทคโนโลยีดาวเทียมในการประเมินความเสียหายของพื้นที่ปลูกข้าวนาปี ในภาคตะวันออกเฉียงเหนือตอนล่าง การพัฒนาแบบประกันภัยทุเรียนในภาคตะวันออก โดยประยุกต์ใช้เทคโนโลยี Internet of Things (IoT) และระบบภูมิสารสนเทศ เพื่อตรวจวัดค่าความเร็วลม และพัฒนาแบบประกันภัยรูปแบบ Weather Index ซึ่งจะนำไปสู่การประเมินความเสียหายเชิงปริมาณได้อย่างมีประสิทธิภาพและสามารถจ่ายค่าสินไหมได้อย่างรวดเร็ว นอกจากนี้ ยังเน้นการสงเสริมเกษตรกรและสถาบันเกษตรกรเป็นผู้ให้บริการทางการเกษตรแบบครบวงจร ส่งเสริมการพัฒนา Soft Power จากภาคเกษตร ตลอดจนการยกระดับสินค้าเกษตรให้มีคุณภาพ ปลอดภัย และต่อยอดสู่เกษตรมูลค่าสูงสู่การเพิ่มรายได้ ใน 3 กลุ่มสินค้า คือ

กลุ่มที่ 1 สินค้าที่มีการผลิตมากกว่าความต้องการของตลาดภายในประเทศ (ข้าว ยางพารา ปาล์มน้ำมัน ลำไย ไก่ และ กุ้ง) มุ่งเน้นนโยบายสร้างสมดุลระหว่างปริมาณการผลิตกับความต้องการใช้ การควบคุมปริมาณการผลิต และมีสินค้าทางเลือก สร้างมูลค่าเพิ่ม สร้างตลาดใหม่ และส่งเสริมการตลาด กลุ่มที่ 2 สินค้าที่ตลาดมีความต้องการ (ข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ มันสำปะหลัง และ ทุเรียน) มุ่งเน้นนโยบายการเพิ่มผลผลิตในประเทศ ทั้งการเพิ่มผลผลิตต่อไร่และการขยายพื้นที่ปลูกที่เหมาะสม ตลอดจนการผลิตด้วยพันธุ์ดีคุณภาพสูง การเพิ่มช่องทางและการเข้าถึงตลาดทั้งในและต่างประเทศ และกลุ่มที่ 3 สินค้าศักยภาพ (ถั่วเหลือง กาแฟ ชา) มุ่งเน้นการเพิ่มผลผลิต เพื่อทดแทนการนำเข้า โดยการสนับสนุนพันธุ์ดี เทคโนโลยีนวัตกรรมที่เหมาะสม และการเข้าถึงตลาด

ทั้งนี้ ด้วยนโยบายของ ศ.ดร.นฤมล ภิญโญสินวัฒน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ทุกหน่วยงาน  ในกระทรวงเกษตรฯ พร้อมที่จะเดินหน้า ร่วมมือ และผลักดันโครงการที่เป็นประโยชน์เพื่อให้คุณภาพชีวิตของพี่น้องเกษตรกรไทยดีขึ้นและมีความมั่นคง ให้ความสำคัญกับการแก้ปัญหาหลักๆ ของเกษตรกร และร่วมกับทุกภาคส่วน ทำงานร่วมกับพี่น้องเกษตรกรและสถาบันเกษตรกรอย่างเข้มแข็ง เพื่อขับเคลื่อนนโยบายด้านการเกษตรของรัฐบาลให้เป็นผลสำเร็จ สร้างโอกาส สร้างรายได้ ยกระดับคุณภาพชีวิตพี่น้องเกษตรกรไทย เปลี่ยนการเกษตรแบบดั้งเดิมให้เป็นเกษตรทันสมัย ผลักดันและขยายตลาดสินค้าเกษตร เพิ่มมูลค่าการส่งออกสินค้าเกษตรยกระดับให้ภาคการเกษตรไทยสู่การเป็นศูนย์กลางการเกษตรของโลก หรือ Agricultural Hub ตามนโยบายของรัฐบาล