อินเดียเปิดตัวข้าวตัดต่อยีน 2 สายพันธุ์ “DRR Dhan 100- Pusa DST Rice 1”

                                                                              ที่มา : กรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ- DITP

เว็บไซค์ กรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ- DITP รายงานว่า เดือนพฤษภาคม พ.ศ. 2568 กระทรวงเกษตรและสวัสดิการเกษตรกรของอินเดียได้ประกาศการพัฒนาข้าวสายพันธุ์ใหม่จำนวน 2 สายพันธุ์ ได้แก่ DRR Dhan 100 (Kamala) และ Pusa DST Rice 1 ข้าวทั้งสองสายพันธุ์ พัฒนาขึ้นโดยสถาบันวิจัยการเกษตรแห่งอินเดีย (Indian Council of Agricultural Research: ICAR) โดยใช้เทคโนโลยี Genome Editing ประเภท CRISPR-Cas SDN-1 ซึ่งเป็นการปรับลำดับพันธุกรรมโดยไม่แทรกยีนจากสิ่งมีชีวิตภายนอก ซึ่งต่างจากเทคโนโลยี GMO

ข้าวพันธุ์ DRR Dhan 100 พัฒนามาจากสายพันธุ์ Samba Mahsuri (BPT-5204) มีลักษณะเด่นคือระยะเวลาเพาะปลูกสั้นลงประมาณ 15–20 วันเมื่อเทียบกับต้นสายพันธุ์ ให้ผลผลิตเพิ่มขึ้น 20–30% และมีคุณสมบัติประหยัดน้ำ รวมทั้งลดการปล่อยก๊าซมีเทนจากแปลงนา

ข้าวพันธุ์ Pusa DST Rice 1 พัฒนาจากสายพันธุ์ MTU1010 (Cottondora Sannalu) มีความสามารถในการทนต่อดินเค็ม ด่าง และสภาพแวดล้อมแห้งแล้ง อีกทั้งสามารถใช้น้ำและปุ๋ยไนโตรเจนได้อย่างมีประสิทธิภาพ ให้ผลผลิตสูงขึ้นในระดับใกล้เคียงกับพันธุ์ DRR Dhan 100

ข้อมูลจาก ICAR ระบุว่า ข้าวทั้งสองสายพันธุ์ผ่านการทดสอบภาคสนามในหลายรัฐของอินเดีย และอยู่ระหว่างการดำเนินการจดสิทธิบัตรและขยายการผลิตเมล็ดพันธุ์เพื่อเตรียมความพร้อมในการปลูกเชิงพาณิชย์ คาดว่าเมล็ดพันธุ์จะพร้อมใช้งานในวงกว้างภายในปี พ.ศ. 2570 โดยมีพื้นที่เป้าหมายสำหรับการส่งเสริมการปลูกข้าว

สายพันธุ์ดังกล่าว ได้แก่ รัฐอานธรประเทศ เตลังกานา ทมิฬนาฑู พิหาร โอริสสา มัธยประเทศ เบงกอลตะวันตก และรัฐอื่น ๆ ที่เป็นแหล่งปลูกข้าวหลักของประเทศอินเดีย

เทคโนโลยี Genome Editing ที่ใช้ในกระบวนการปรับปรุงพันธุ์ข้าวในครั้งนี้ เป็นกระบวนการที่ไม่เกี่ยวข้องกับการนำยีนจากสิ่งมีชีวิตภายนอกเข้าสู่จีโนมของพืช จึงไม่เข้าข่ายเป็นสิ่งมีชีวิตดัดแปลงพันธุกรรม (GMO) ตามนิยามของหลายประเทศ รวมถึงอินเดีย การใช้เทคโนโลยีดังกล่าวมุ่งหวังเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตข้าว พร้อมลดการใช้ทรัพยากรและผลกระทบทางสิ่งแวดล้อม

จากข้อมูลของหน่วยงานด้านการเกษตรอินเดีย ข้าวสายพันธุ์ใหม่ทั้งสองอาจสามารถเพิ่มผลผลิตได้รวมประมาณ 4.5 ล้านตันต่อปี หากมีการปลูกในพื้นที่เป้าหมายประมาณ 5 ล้านเฮกตาร์ และสามารถลดการปล่อยก๊าซมีเทนจากภาคการเกษตรได้ในระดับที่วัดผลได้