อนุกมธ.การคลัง วุฒิสภา แนะรัฐบาล “ชะลอ-ปรับลด-ตัด” โครงการสร้างตึกไม่จำเป็น เน้นเช่าที่แทนการก่อสร้าง เรียกร้องให้มีเจ้าภาพหลักดูแลการสร้างตึกหน่วยงานรัฐ พร้อมเสนอ 6 ข้อให้รัฐบาล พิจารณาใช้จ่ายงบประมาณอย่างมีประสิทธิภาพและคุ้มค่าต่อสาธารณะ
วันที่15 พ.ค.68 น.ส.ชญาน์นันท์ ติยะตระการชัย สมาชิกวุฒิสภา ในฐานะประธานอนุกรรมาธิการด้านการคลัง วุฒิสภา พร้อมด้วยนายศรายุทธ ยิ้มยวน สมาชิกวุฒิสภา ในฐานะรองประธานคณะอนุกรรมาธิการคนที่หนึ่ง ร่วมกันแถลงแสดงความเป็นห่วงต่อการบริหารงบประมาณโครงการก่อสร้างอาคารของรัฐที่มีผลต่อฐานะการคลังของรัฐบาลว่า ปัจจุบันสังคมกำลังติดตามการจัดสรรและการใช้จ่ายงบประมาณรายจ่ายประจำปีของภาครัฐ โดยเฉพาะโครงการก่อสร้างและการปรับปรุงอาคารขนาดใหญ่ของรัฐ เกี่ยวกับความโปร่งใสของกระทบวนการ ตลอดจนความจำเป็นและความคุ้มค่า
คณะกรรมาธิการฯ จึงได้มีการประชุมร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เพื่อพิจารณาศึกษาและติดตามการใช้จ่ายงบประมาณลงทุนเพื่อดำเนินโครงการก่อสร้างขนาดใหญ่ของรัฐ ได้ข้อสรุปว่า งบประมาณรายจ่ายลงทุน โดยเฉพาะโครงการก่อสร้างขนาดใหญ่ของรัฐหลายโครงการ ซึ่งเป็นงบผูกพันระหว่างปี พ.ศ. 2565 – 2567 มีวงเงินรวมประมาณ 39,172 ล้านบาท ยังไม่นับรวมงบลงทุนเพื่อดำเนินโครงการก่อสร้างขนาดใหญ่ของรัฐในเอกสารงบประมาณรายจ่ายประจำปี พ.ศ. 2569
อนุกรรมาธิการฯ จึงเสนอ 6 ข้อให้รัฐบาล พิจารณาใช้จ่ายงบประมาณอย่างมีประสิทธิภาพและคุ้มค่าต่อสาธารณะ 1. รัฐบาลควรพิจารณาชะลอ ปรับลด หรือตัดโครงการก่อสร้างที่ไม่จำเป็นหรือไม่เร่งด่วนในเชิงเศรษฐกิจหรือสังคม และอาจสร้างภาระงบประมาณระยะยาว โดยเฉพาะโครงการที่มีลักษณะซ้ำซ้อนหรือให้ประโยชน์ต่อกลุ่มเป้าหมายจำกัด เพื่อเปิดโอกาสให้เกิดการจัดสรรงบประมาณในโครงการที่สร้างผลตอบแทนทางสังคมสูงกว่า และเร่งรัดเบิกจ่ายได้จริงในปีงบประมาณ
2. ส่งเสริมการใช้พื้นที่ร่วมกันหรือเช่าพื้นที่จากภาคเอกชนแทนการก่อสร้างใหม่ เพื่อประหยัดงบประมาณลงทุนระยะยาว ซึ่งอาจมีความคุ้มค่าทางเศรษฐกิจมากกว่าการลงทุนก่อสร้างใหม่ และสามารถปรับเปลี่ยนตามความต้องการได้ยืดหยุ่นกว่า
3. ภาครัฐควรกำหนด “แบบกลาง” สำหรับการก่อสร้างสิ่งปลูกสร้างพื้นฐาน เช่น โรงพยาบาล สถานีตำรวจ โรงเรียน หรือศูนย์ราชการ เพื่อควบคุมคุณภาพ ลดการใช้จ่ายฟุ่มเฟือย และป้องกันปัญหาความแตกต่างของต้นทุนก่อสร้างโดยไม่มีเหตุผลเชิงวิศวกรรม ทั้งยังช่วยลดระยะเวลาการอนุมัติแบบก่อสร้างและการดำเนินงาน
4. สนับสนุนบริษัทคนไทยในการเข้าร่วมดำเนินโครงการของภาครัฐ โดยเฉพาะในระดับ SMEs และผู้รับเหมาท้องถิ่น ด้วยมาตรการเอื้ออำนวย เช่น การแบ่งสัญญาเป็นขนาดย่อย การให้แต้มต่อในเกณฑ์ประเมิน หรือการให้ความช่วยเหลือทางเทคนิค
5. คืนงบประมาณส่วนเกินและงบประมาณที่ไม่สามารถเบิกจ่ายได้เข้าสู่คลังภายในปีงบประมาณ 2569 เพื่อให้การบริหารงบประมาณโปร่งใสและลดปัญหาเงินคงค้างในระบบ
6. ส่งเสริมการมีส่วนร่วมของประชาชนในการตรวจสอบงบประมาณและโครงการรัฐ เช่น แพลตฟอร์มออนไลน์สำหรับรายงานความคืบหน้า การจัดเวทีรับฟังความเห็นระดับพื้นที่ หรือการสนับสนุนภาคประชาสังคมให้เป็นกลไกตรวจสอบคู่ขนาน เพื่อเสริมสร้างความโปร่งใสและความไว้วางใจต่อการใช้งบประมาณแผ่นดิน
ด้านนายศรายุทธ กล่าวว่า ทางอนุกรรมาธิการฯ ได้นำกรณีการใช้งบสร้างตึกสตง.มาเป็นบทเรียนในการพิจารณางบประมาณรายจ่ายประจำปี 2569 โดยมีข้อสังเกตว่าหน่วยงานหลักๆของประเทศ ทั้งกระทรวงทบวงกรมต่างๆ และองกรณ์อิสระ แทบทุกหน่วยงานจะจัดซื้อจัดจ้าง-ประมูล-ควบคุมงานและตรวจรับงานเองทั้งหมด เมื่อเปรียบเทียบกับตึกสตง.แล้วก็พบว่า เจ้าหน้าที่รัฐไม่มีความชำนาญในหลักวิศวกรรมสำหรับตรวจสอบการออกแบบ แม้จะจ้างวิศวกรบางส่วนมาช่วยแต่จะไม่เป็นระบบ จึงเห็นควรให้มีเจ้าภาพหลักทำหน้าที่ช่วยดูว่ากระทรวงทบวงกรมไหนจะสร้างตึก จะทำยังไงให้ถูกต้องตามหลักวิศวกรและใช้วัสดุไม่ต่ำหรือสูงเกินความจำเป็นที่ทำให้งบประมาณบานปลาย โดยไม่จำเป็น
“ถ้ามีเจ้าภาพหลักน่าจะเป็นเรื่องดี เช่น กรมโยธาธิการและผังเมืองที่มีวิศวกรมากมาย มาเป็นเจ้าภาพช่วยดูแลการสร้างตึกให้ทุกกระทรวงและทุกหน่วยงานที่ต้องการ เพื่อจะได้เกิดมาตรฐานเดียวกัน โดยใช้มาตรฐานกรมโยธาธิการและผังเมืองเป็นตัวอย่าง สิ่งเหล่านี้น่าจะเพิ่มประสิทธิภาพในการใช้งบประมาณในการก่อสร้างอาคารขนาดใหญ่ ” นายศรายุทธกล่าว