
กรมวิชาการเกษตร เล็งแผนจะนำผลิตภัณฑ์ที่ปแรรูปจากส้มโอไปใช้ในอุ ตสาหกรรมน้ำหอม เครื่องสำอาง และผลิตภัณฑ์ ทำความสะอาดจากธรรมชาติ หวังสร้างมูลค่าเพิ่มเชิงพาณิชย์ หลังพบว่ามีสานหลานชนิดที่มีประโยชน์ต่อสุขภาพหลายด้าน
นายภัสชญภณ หมื่นแจ้ง รองอธิบดีกรมวิชาการเกษตร ในฐานะโฆษกกรมวิชาการเกษตร เปิดเผยว่า กรมวิชาการเกษตร ได้ดำเนินการแก้ไขปัญหาผลไม้ที่ ขนาดไม่ได้มาตรฐานหรือมีลั กษณะที่ไม่สวยงามที่ จะนำมาขายได้ทั้ งตลาดในประเทศและต่างประเทศ ทำให้เกษตรกรต้องขายผลไม้เหล่ านี้ในราคาที่ถูกลง หรือนำไปทำอาหารสัตว์ ทำปุ๋ย หรือปล่อยทิ้งไว้จนเน่าเปื่อยย่ อยสลายเป็นขยะอาหาร ส่งผลให้เกิดก๊าซเรือนกระจก เช่น ก๊าซมีเทน ซึ่งมีศักยภาพในการทำให้โลกร้อน สูงกว่าก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ถึง 25 เท่า

สำนักวิจัยพัฒนาเทคโนโลยีชีวภาพ ได้เล็งเห็นถึงความสำคัญในการจั ดการเปลี่ยนขยะให้เป็นศูนย์ จึงได้ดำเนินโครงการวิจัยพั ฒนานวัตกรรมการแปรรูปผลไม้ที่ ไม่ได้คุณภาพโดยนำร่องกับส้ มโอขาวแตงกวาที่บางฤดูกาลมี ขนาดไม่ได้มาตรฐานหรือไม่ สวยงามตามความนิยมของผู้บริโภค เช่น ส้มโอที่มีผิวและทรงไม่สวย เปลือกหนา รสชาติไม่หวาน โดยนำเนื้อและเปลือกของส้ มโอขาวแตงกวาชัยนาทมาผลิตเป็ นผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร ได้แก่ เม็ดฟู่ส้มโอขาวแตงกวา เยลลี่กัมมี่ส้มโอขาวแตงกวา บาล์มอโรม่าส้มโอขาวแตงกวา และสครับขัดผิวส้มโอขาวแตงกวา เป็นการสร้างมูลค่าเพิ่มให้กั บเนื้อและเปลือกของส้ มโอขาวแตงกวาชัยนาท
ด้านนางสาววรารัตน์ ศรีประพัฒน์ นักวิชาการเกษตรชำนาญการ สำนักวิจัยพัฒนาเทคโนโลยีชีวภาพ กล่าวว่า จากการวิเคราะห์องค์ ประกอบทางเคมีในเนื้อส้ มโอและเปลือกส้มโอ พบว่าในเนื้อจะถูกนำไปพัฒนาเป็ นตำรับผลิตภัณฑ์เสริ มอาหารจากผลส้มโอพันธุ์ ขาวแตงกวาในรูปแบบเม็ดฟู่ และในส่วนเปลือกจะนำไปพัฒนาเป็ นผลิตภัณฑ์เยลลี่เพื่อสุขภาพ เนื่องจากในน้ำ เนื้อ และเปลือกของส้มโอที่เหลือทิ้ งมีสารสำคัญที่มีคุณค่าและเป็ นประโยชน์ต่อร่างกาย ได้แก่ วิตามินซี และสารลีโมนีน ซึ่งจากการศึกษาพบว่าสารดี-ลิ โมนีน ที่สกัดได้จากส้ม ส้มโอ มะนาว และมะกรูดได้รับความนิยมมากในอุ ตสาหกรรมต่าง ๆ ทั่วโลกเช่น การแปรรูปอาหาร อุตสาหกรรมการแพทย์เภสัชกรรม และเครื่องสำอาง เป็นต้น เพราะเป็นสารสกัดจากธรรมชาติจึ งมีความปลอดภัยต่อร่ างกายและสามารถบริโภคได้

นอกจากนี้ ยังพบว่าส้มโอที่เหลือทิ้งมี สารสำคัญหลายชนิด เช่น สาร α-Pinene (อัลฟ่า-ไพนีน) β-Pinene (เบต้า-ไพนีน) β-Myrcene (เบต้า-เมอร์ซีน) α-Phellandrene (อัลฟ่า-เฟลแลนดรีน) D-Limonene (ดี-ลิโมนีน) และ β-Phellandrene (เบต้า-เฟลแลนดรีน) ที่มีประโยชน์ต่อสุขภาพหลายด้าน ได้แก่ ช่วยบำรุงระบบทางเดินหายใจ ช่วยขยายหลอดลม บรรเทาอาการหอบหืด เสริมสร้างความจำ ลดความเครียด ช่วยให้ผ่อนคลายนอนหลับง่ายขึ้น มีฤทธิ์ต้านการอักเสบ บรรเทาอาการปวด ช่วยระบบย่อยอาหาร ลดคอเลสเตอรอล เสริมสร้างระบบภูมิคุ้มกัน ต้านเชื้อแบคทีเรีย เชื้อรา และไวรัส มีฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระ ช่วยลดความเสี่ยงของมะเร็ง ช่วยกระตุ้ นระบบเผาผลาญและการไหลเวียนเลื อด
สารเหล่านี้มีคุณสมบัติที่ เป็นประโยชน์ต่อสุ ขภาพเหมาะสมสำหรับการพัฒนาเป็ นผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร โดยพบว่าผลิตภัณฑ์เสริมอาหารเม็ ดฟู่และเยลลี่กัมมี่ ของนักวิจัยในโครงการ คือ นางสาวปิยนุช ศรชัย และ นายสมชาย หลวงสนาม ได้รับความสนใจจากผู้บริ โภคมากกว่า 90% รวมถึงมีแผนจะนำไปใช้ในอุ ตสาหกรรมน้ำหอม เครื่องสำอาง และผลิตภัณฑ์ ทำความสะอาดจากธรรมชาติ

ดังนั้นทางกรมวิชาการเกษตร ได้บูรณาการงานวิจัยและพัฒนา โดยนำเทคโนโลยีและนวัตกรรมแปรรู ปวัสดุเหลือทิ้ งทางการเกษตรมาเป็นผลิตภัณฑ์ เสริมอาหาร เพื่อแก้ปัญหาขยะจากเปลือกส้ มโอที่มีปริ มาณมากของเกษตรกรชาวสวนส้มโอ ช่วยลดการสูญเสียอาหารที่ กลายเป็นขยะอาหารของประเทศไทย เพิ่มขีดความสามารถทางการแข่งขั น และเสริมสร้างความเข้มแข็งอย่ างยั่งยืนให้กับอุ ตสาหกรรมเกษตรไทยในตลาดโลก สอดคล้องกับนโยบายการขับเคลื่อน BCG สำหรับเกษตรกรและผู้ประกอบการที่ สนใจสามารถสอบถามข้อมูลเพิ่มเติ มได้ที่กลุ่มวิจัยเทคโนโลยีชี วภาพทางการเกษตร สำนักวิจัยพัฒนาเทคโนโลยีชีวภาพ โทรศัพท์ 0 2904 6885 ต่อ 95