ธ.ก.ส. ก้าวสู่ปีที่ 57 มุ่งเสริมความแข็งแกร่งของภาคเกษตรกรรม ให้เป็นแรงหนุนสำคัญต่อระบบเศรษฐกิจไทย ทั้งด้านความมั่นคงทางอาหาร พลังงานและการอนุรักษ์สิ่งแวดล้อม โชว์ผลงานเติมทุนสู่ภาคชนบทในรอบครึ่งปีบัญชี 65 ไปแล้วกว่า 3.68 แสนล้านบาท พร้อมขับเคลื่อนงานนโยบายรัฐโดยกระทรวงการคลัง และมาตรการดูแลเกษตรกรที่ได้รับผลกระทบจากวิกฤตเศรษฐกิจและ Covid-19 ผ่านการปรับโครงสร้างหนี้ การเพิ่มประสิทธิภาพการผลิต การแก้ปัญหาเชิงพื้นที่ผ่านโมเดล D&MBAที่สามารถสร้างงาน สร้างอาชีพและรายได้เพิ่มให้เกษตรกร วางเป้า 2 ไตรมาสสุดท้าย เดินหน้าแนวทางการผลิตสู่พืชเกษตรมูลค่าสูง โดยใช้เทคโนโลยีและนวัตกรรมต่อยอดชุมชนสร้างฐานการผลิตที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมภายใต้หลัก BCGเพื่อลดภาระหนี้ครัวเรือนและสร้างรายได้อย่างยั่งยืน
นายธนารัตน์ งามวลัยรัตน์ ผู้จัดการธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) เปิดเผยผลการดำเนินงานครึ่งปีบัญชี 2565 (1 เมษายน 2565 ถึง 30 กันยายน 2565) ว่า ธ.ก.ส. ได้สนับสนุนสินเชื่อเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจในภาคชนบทในช่วงดังกล่าวไปแล้ว จำนวน 368,745 ล้านบาท ทำให้มียอดสินเชื่อสะสมคงเหลือจำนวน1,601,350 ล้านบาท เงินรับฝาก จำนวน 1,770,078 ล้านบาท มีสินทรัพย์รวม จำนวน 2,121,282 ล้านบาท หนี้สินรวม จำนวน 1,974,906 ล้านบาท ส่วนของเจ้าของ จำนวน 146,376 ล้านบาท มีรายได้รวม 42,654 ล้านบาท ค่าใช้จ่ายรวม จำนวน 41,266 ล้านบาท และมีกำไรสุทธิ จำนวน 1,388 ล้านบาท อัตราส่วนผลตอบแทนต่อสินทรัพย์เฉลี่ย (ROA) เท่ากับร้อยละ 0.13 อัตราส่วนผลตอบแทนต่อส่วนของเจ้าของ (ROE) เท่ากับร้อยละ 1.88 อัตราส่วนสภาพคล่องต่อเงินฝากเท่ากับร้อยละ 12.98อัตราสินเชื่อด้อยคุณภาพอยู่ที่ร้อยละ 12.5 และอัตราเงินกองทุนต่อสินทรัพย์เสี่ยง(BIS) ร้อยละ 12.55 สูงกว่าเกณฑ์ที่ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) กำหนด
นายธนารัตน์ กล่าวอีกว่า ในช่วงที่ผ่านถือเป็นช่วงแห่งความยากลำบากของเกษตรกรและผู้ประกอบการทางการเกษตร จากภาระต้นทุนทางการผลิตที่เพิ่มสูง ทั้งค่าปุ๋ย พลังงาน แรงงาน และข้อจำกัดในการขนส่งสินค้าเกษตร ส่งผลกระทบต่อรายได้ของเกษตรกร ซึ่ง ธ.ก.ส. ได้จัดทำมาตรการในการเข้าไปดูแลแบบครบวงจร ไม่ว่าจะเป็น การตรึงอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ในช่วงขาขึ้นออกไปให้นานที่สุด ทั้งอัตราดอกเบี้ยลูกค้าสถาบันชั้นดี (MLR) อัตราดอกเบี้ยลูกค้ารายใหญ่ชั้นดี (MOR) และอัตราดอกเบี้ยลูกค้ารายย่อยชั้นดี (MRR)
ทั้งนี้เพื่อมิให้เป็นภาระต้นทุนกับลูกค้าในช่วงการฟื้นตัวการจูงใจให้ลูกค้าชำระหนี้ผ่านโครงการชำระดีมีคืน Plusวงเงิน 3,000 ล้านบาทตั้งแต่วันนี้ถึง 31 ธันวาคม 2565 การดูแลภาระหนี้สินเดิมเพื่อลดความกังวลใจในเรื่องหนี้ ผ่านการปรับปรุงโครงสร้างหนี้ กำหนดชำระหนี้ใหม่ตามศักยภาพที่แท้จริง การไกล่เกลี่ยหนี้กรณีมีหนี้นอกระบบและมาตรการจ่ายดอกตัดต้น กรณีลูกค้าส่งชำระหนี้ธนาคารจะแบ่งภาระการตัดชำระหนี้ตามสัดส่วนต้นเงินและดอกเบี้ยสำหรับลูกค้าที่มีหนี้เป็นภาระหนัก ควบคู่การพัฒนาเพื่อเพิ่มศักยภาพในการประกอบอาชีพเช่นการให้ความรู้ด้านFinancial Literacy/Digital Literacy การร่วมกับภาคีเครือข่ายภาครัฐเอกชนสถาบันการศึกษาในการศึกษาดูงานการฝึกปฏิบัติเพิ่มทักษะทั้งอาชีพเดิมอาชีพเสริมอาชีพใหม่การปรับเปลี่ยนการผลิตไปปลูกพืชที่มีมูลค่าสูงการลดต้นทุนการผลิตโดยใช้เทคโนโลยีและนวัตกรรมการแปรรูปเพื่อเพิ่มมูลค่าผลผลิตการยกระดับมาตรฐานสินค้าเป็นต้น โดยคาดว่าจะช่วยลดภาระหนี้ครัวเรือนให้เกษตรกรและ NPLs/Loan ลดลงอยู่ที่ร้อยละ 7 ในช่วงสิ้นปีบัญชี
นอกจากนี้ ธ.ก.ส. ยังทำหน้าที่เป็นกลไกในการขับเคลื่อนนโยบายของรัฐบาลโดยกระทรวงการคลัง ผ่านมาตรการและโครงการสำคัญๆ ได้แก่โครงการลงทะเบียนเพื่อสวัสดิการแห่งรัฐปี 2565 โดย ธ.ก.ส. อำนวยความสะดวกในการเปิดจุดลงทะเบียน ณ พื้นที่ ธ.ก.ส.สาขาทั่วประเทศ รวมถึงการแนะนำการลงทะเบียนทางออนไลน์ กรณีผู้ลงทะเบียนไม่มีครอบครัว ซึ่งระยะเวลาการลงทะเบียนตั้งแต่ 5 กันยายน – 31 ตุลาคม 2565 มีประชาชนร่วมลงทะเบียนผ่าน ธ.ก.ส.ทั้งสิ้นจำนวนประมาณ 4.6 ล้านราย จากผู้ลงทะเบียนทั้งหมดประมาณ 22 ล้านราย การร่วมบูรณาการกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในการลดภาระและแก้ไขปัญหาหนี้ครัวเรือนให้กับประชาชนที่ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์ทางด้านเศรษฐกิจและ Covid-19 พร้อมกระตุ้นการรับรู้ผ่านการจัดงาน “มหกรรมร่วมใจแก้หนี้ มีหนี้ต้องแก้ไข เริ่มต้นใหม่อย่างยั่งยืน” ซึ่งจะจัดไปยังจังหวัดต่าง ๆ 5 ครั้ง ประกอบด้วย
กรุงเทพมหานคร วันที่ 4-6 พฤศจิกายน 2565 ขอนแก่นวันที่ 18-20 พฤศจิกายน 2565 เชียงใหม่ 16-18 ธันวาคม 2565 ชลบุรี วันที่ 20-22 มกราคม 2566 และหาดใหญ่จังหวัดสงขลาวันที่ 27- 29 มกราคม 2566ซึ่งในงานดังกล่าว ธ.ก.ส.จะจัดเตรียมเครื่องมือด้านการบริหารจัดการหนี้ ความรู้ทางการเงินแนวทางการประกอบอาชีพเดิม อาชีพเสริมและอาชีพใหม่ พร้อมการเติมสินเชื่อที่สอดคล้องกับความต้องการในอัตราดอกเบี้ยและเงื่อนไขที่ผ่อนปรนการจ่ายเงินตามโครงการประกันรายได้ในพืชเศรษฐกิจหลัก 5 ชนิด คือข้าว ข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ มันสำปะหลัง ยางพาราและปาล์มน้ำมัน และโครงการสนับสนุนค่าบริหารจัดการและพัฒนาคุณภาพผลผลิตเกษตรกรผู้ปลูกข้าว ปีการผลิต 2564/65 รวมจำนวนเงิน 142,667 ล้านบาท และมีเกษตรกรได้รับประโยชน์กว่า 4.68 ล้านราย
ในส่วนของเกษตรกรที่ประสบอุทกภัย ธ.ก.ส.ได้มอบหมายให้พนักงานในพื้นที่ ออกเยี่ยมเยียนให้กำลังใจและมอบถุงยังชีพเพื่อบรรเทาความเดือดร้อนเบื้องต้น พร้อมนำมาตรการดูแลภาระหนี้สินต่างๆเข้าไปดูแล ควบคู่ไปกับมาตรการเสริมสภาพคล่องและฟื้นฟูลูกค้าผ่านโครงการสินเชื่อเพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในชีวิตประจำวันและค่าใช้จ่ายจำเป็นฉุกเฉินเช่นค่าอุปโภคและบริโภคที่จำเป็นอัตราดอกเบี้ย0% 6เดือนแรกเดือนที่7คิดอัตราดอกเบี้ยMRR วงเงินรายละไม่เกิน50,000บาทโครงการสินเชื่อฟื้นฟูและพัฒนาคุณภาพชีวิตเพื่อนำไปใช้สร้างหรือซ่อมแซมที่อยู่อาศัยโรงเรือนการเกษตรเครื่องมือเครื่องจักรกลการเกษตรค่าใช้จ่ายในการทำการเกษตรรอบใหม่ รวมถึงการฟื้นฟูการผลิตที่ได้รับความเสียหายจากภัยธรรมชาติหรือภัยพิบัติเพื่อลดปัญหาการก่อหนี้นอกระบบรายละไม่เกิน 500,000 บาทอัตราดอกเบี้ยMRR-2วงเงินรวม20,000ล้านบาท
ในด้านการพัฒนา ธ.ก.ส.ได้ขับเคลื่อนงานภายใต้หลักการพัฒนาที่ยั่งยืน (Sustainable Development Goals : SDGs) ตามแนวทางปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียงและการพัฒนาเศรษฐกิจแบบองค์รวม (BCG Model) โดยจัดทำโมเดลการจัดการ – ออกแบบเชิงพื้นที่ “แก้หนี้ แก้จน”Design & Manage by Area (D&MBA)เพื่อจัดการและแก้ไขปัญหาหนี้สินภาคประชาชนอย่างตรงจุด โดยคนในชุมชน พร้อมกำหนดให้ ธ.ก.ส. ในพื้นที่เข้าไปร่วมกับภาคีเครือข่ายและชาวบ้าน จัดทำโมเดลต้นแบบในการแก้ไขปัญหาทั้ง 77 จังหวัดทั่วประเทศ ซึ่งมีผู้เข้าร่วมโครงการแล้วกว่า 45,000 ราย
การขับเคลื่อนโครงการธนาคารต้นไม้เพื่อสร้างการมีส่วนร่วมในการจัดการทรัพยากรธรรมชาติของชุมชนอย่างยั่งยืนการต่อยอดสู่ชุมชนไม้มีค่าโดยนำผลิตผลจากต้นไม้มาสร้างมูลค่าเพิ่มและรายได้ให้กับชุมชน และพัฒนาแอปพลิเคชันธนาคารต้นไม้ (Tree Bank)มาช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการเก็บรวบรวมและวิเคราะห์ข้อมูลต้นไม้บนโทรศัพท์มือถือไม่ว่าจะเป็นการบันทึกพิกัดต้นไม้ที่ปลูกวันที่ปลูกชนิดของต้นไม้ความโตความสูงทั้งยังสามารถคำนวณมูลค่าต้นไม้และปริมาณกักเก็บคาร์บอนต้นไม้ซึ่งข้อมูลดังกล่าวสามารถตรวจสอบและการันตีความถูกต้องของจำนวนต้นไม้ที่ชุมชนได้ร่วมกันปลูกและดูแลรักษาและยังสามารถนำข้อมูลมาต่อยอดให้เกิดประโยชน์เช่นการนำต้นไม้มาใช้เป็นหลักประกันสินเชื่อการสนับสนุนกิจกรรมลดก๊าซเรือนกระจก (LESS) การรายงานปริมาณการกักเก็บคาร์บอนของต้นไม้กิจกรรมชดเชยคาร์บอน (Carbon Offset)
รวมถึงบันทึกการขอสินเชื่อจาก ธ.ก.ส.ซึ่งปัจจุบันมีธนาคารต้นไม้เข้าร่วมโครงการ 6,838 ชุมชน มีต้นไม้ขึ้นทะเบียนในโครงการ 12.4 ล้านต้น มีสมาชิก 123,845 ราย โดยในชุมชนดังกล่าวสามารถยกระดับไปสู่ชุมชนไม้มีค่าแล้ว 381 ชุมชนมีรายได้จากผลิตภัณฑ์ที่ได้จากต้นไม้/ป่าไม้กว่า128 ล้านบาทต่อปี และมีชุมชนที่ได้รับใบประกาศเกียรติคุณจาก อบก. เพื่อรับรองปริมาณก๊าซเรือนกระจกจำนวน 62 ชุมชน
” ธ.ก.ส.พร้อมสนับสนุนสินเชื่อตามโครงการรักษ์ป่าไม้ไทยยั่งยืนสินเชื่อ Green Credit วงเงิน 6,000 ล้านบาทผ่านแหล่งเงินทุนพันธบัตรเพื่ออนุรักษ์สิ่งแวดล้อม (Green Bond) ให้เกษตรกรได้มีเงินทุนไปต่อยอดธุรกิจไม้มีค่าให้เติบโตรวมถึงการเสริมสร้างศักยภาพชุมชนสู่การพัฒนาระบบเศรษฐกิจฐานรากอย่างยั่งยืนภายใต้ BCG Model ผ่านโครงการยกระดับชุมชนอุดมสุขเพื่อขับเคลื่อนมาตรฐานชุมชนให้ครอบคลุมทั้ง4 มิติ โดยมีชุมชนผ่านมาตรฐานแล้ว 88 ชุมชน โดย ธ.ก.ส. ได้สนับสนุนและต่อยอดการดำเนินธุรกิจ ผ่านโครงการสินเชื่อธุรกิจชุมชนสร้างไทยจำนวน 2,563 ธุรกิจการสนับสนุนช่องทางด้านการตลาดทั้งออนไลน์และออฟไลน์ เช่น เว็บไซต์ https://baac-farmersmarket.comและการจัดตลาดนัดของดี วิถีชุมชนในทุก ๆ จังหวัด” นายธนารัตน์ กล่าว
ผู้จัดการ ธ.ก.ส.กล่าวด้วยว่า ศูนย์วิจัยและพัฒนาธ.ก.ส. คาดการณ์แนวโน้มของเศรษฐกิจการเกษตรภายหลังภาครัฐเริ่มผ่อนคลายมาตรการในการป้องกันการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19และปรับสู่โรคท้องถิ่น ทำให้เศรษฐกิจในประเทศเริ่มทยอยฟื้นตัว ทั้งด้านการเกษตรและการท่องเที่ยว ถือเป็นโอกาสของเกษตรกรในการจำหน่ายผลผลิตไปสู่ตลาดโลกซึ่งคาดว่ามูลค่าการส่งออกสินค้าในปี 2565 จะขยายตัวที่ร้อยละ 8 และเศรษฐกิจเกษตรตลอดทั้งปี 2565 จะขยายตัวได้ที่ร้อยละ 4.1โดยมีปัจจัยสนับสนุน 4 ประการได้แก่ค่าเงินบาทที่อ่อนค่าลง ซึ่งสนับสนุนการส่งออกสินค้าเกษตร ได้แก่ข้าว อ้อย ยางพารา มันสำปะหลัง และกุ้งขาวแวนนาไมแนวโน้มราคาน้ำมันดิบที่เพิ่มขึ้น
สิ่งเหล่านี้จะส่งผลให้ราคายางพาราและราคาปาล์มน้ำมันปรับตัวสูงขึ้นนโยบายรัฐบาลที่ช่วยเพิ่มรายได้เกษตรกรและรักษาเสถียรภาพด้านราคาสินค้าเกษตรและปริมาณน้ำฝนที่เพียงพอต่อการผลิตสินค้าเกษตรส่งผลให้ดัชนีรายได้ของเกษตรกรขยายตัวถึงร้อยละ 15.53 ตามดัชนีราคาสินค้าเกษตรที่ขยายตัวร้อยละ 12.66 และดัชนีผลผลิตที่ขยายตัวร้อยละ 2.55ทั้งนี้ ปรากฎการณ์ลานีญาในช่วงที่ผ่านมาทำให้เกิดฝนตกชุกและอุทกภัยในหลายพื้นที่สร้างความเสียหายต่อสินค้าเกษตรและการเก็บเกี่ยวผลผลิตปัจจัยกดดันจากเศรษฐกิจประเทศคู่ค้าชะลอตัวลงแรงงานภาคการเกษตรที่โยกย้ายไปนอกภาคเกษตรเพิ่มขึ้นและราคาปุ๋ยเคมีสูงขึ้นอย่างต่อเนื่องอาจทำให้ GDP ภาคเกษตรขยายตัวลดลงจากที่คาดการณ์
อย่างไรก็ตาม ยังมีปัจจัยสนับสนุนจากการส่งออกสินค้าเกษตรที่ยังเติบโตได้ต่อเนื่อง ตามความต้องการที่เพิ่มขึ้นของประเทศคู่ค้าหลังสถานการณ์การแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 คลี่คลาย และความต้องการสินค้าอาหารทั่วโลกที่เพิ่มขึ้นจากภาวะสงครามจากแนวโน้มดังกล่าว ธ.ก.ส. พร้อมเข้าไปสนับสนุนและต่อยอดการผลิตและการแปรรูปทางการเกษตร ผ่านการเติมสินเชื่อใหม่ภายใต้อัตราดอกเบี้ยที่ผ่อนปรนเพื่อเสริมสภาพคล่องในการใช้จ่ายและการลงทุนเช่นสินเชื่อสานฝันสร้างอาชีพสินเชื่อนวัตกรรมดีมีเงินทุนสินเชื่อGreen Credit สินเชื่อContract Farming สินเชื่อธุรกิจชุมชนสร้างไทยเป็นต้น
สำหรับเป้าหมายการดำเนินงานในช่วง 2 ไตรมาสสุดท้าย (1 ตุลาคม 2565-31 มีนาคม 2566) ธ.ก.ส. ยังคงมุ่งเน้นการเข้าไปแก้ไขปัญหาและลดภาระหนี้ครัวเรือนให้กับเกษตรกรลูกค้า ผ่านมาตรการและโครงการที่วางไว้อย่างต่อเนื่องพร้อมนำจุดแข็งของเกษตรกรไทย ที่มีความเชี่ยวชาญในการผลิตอาหารที่ปลอดภัย ป้อนสู่ตลาดทั้งในและต่างประเทศการปลูกพืชพลังงาน การสนับสนุนพลังงานสะอาด เช่น พลังงานแสงอาทิตย์ และการเพิ่มพื้นที่ป่าไม้ ด้วยการดึงหน่วยงานและองค์กรต่าง ๆ ที่มีนโยบาย Zero wasteมาสนับสนุนชุมชนให้ปลูกต้นไม้และมีรายได้จากการขายคาร์บอนเครดิตซึ่งสิ่งเหล่านี้จะเป็นแรงหนุนสำคัญต่อระบบเศรษฐกิจไทย ในการสร้างความมั่นคงทางอาหาร พลังงานและการอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมทำให้ระบบเศรษฐกิจฐานรากของประเทศเติบโตอย่างยั่งยืน