ธ.ก.ส. ออกมาตรการพักชำระหนี้ต้นเงิน 1 ปี ตั้งแต่งวดเดือนกรกฎาคม 2564 ถึงงวดมีนาคม 2565 และพักชําระดอกเบี้ยเงินกู้ที่ถึงกําหนดเป็นระยะเวลา 2 เดือนนับจากงวดชําระเดิมตั้งแต่งวดเดือนกรกฎาคม-ธันวาคม2564 ตามความสมัครใจให้กับเกษตรกร บุคคล ผู้ประกอบการและสถาบันเกษตรกร ที่ได้รับผลกระทบจากไวรัส COVID – 19 เผยมีจำนวนผู้มีสิทธิ์กว่า 3.58 ล้านราย ต้นเงินกู้กว่า 1.05 ล้านล้านบาท พร้อมเร่งให้ผู้ที่สนใจแจ้งความประสงค์เข้าร่วมโครงการได้ผ่าน LINE Official : BAAC Family เว็บไซต์ www.baac.or.th และCall Center 02 555 0555 และ ธ.ก.ส. ทุกสาขา เริ่มตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไปถึง 15 ธ.ค.นี้
นายธนารัตน์ งามวลัยรัตน์ ผู้จัดการธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) เปิดเผยว่า จากสถานการณ์การแพร่ระบาดของเชื้อไวรัส COVID-19 ที่ส่งผลต่อการดำเนินชีวิตรวมถึงเศรษฐกิจโดยรวมของประเทศเป็นอย่างมากและยังมีแนวโน้มแพร่ระบาดต่อเนื่องอีกระยะหนึ่ง ซึ่งรัฐบาลโดยกระทรวงการคลังและและธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ได้มอบนโยบายให้สถาบันการเงินเร่งให้ความช่วยเหลือประชาชนอย่างต่อเนื่อง
ในคราวประชุมคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 13 กรกฎาคม 2564 มีมติเห็นชอบมาตรการผ่อนปรนการชำระคืนต้นเงินและดอกเบี้ยเงินกู้หรือการเลื่อนงวดชำระต้นเงินและดอกเบี้ยเงินกู้ให้แก่ลูกค้า ซึ่ง ธ.ก.ส. ในฐานะสถาบันการเงินของรัฐได้ดำเนินโครงการพักชำระหนี้ภายใต้มาตรการช่วยเหลือลูกค้าที่ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19) ตามความสมัครใจ (พักหนี้โควิดภาคสมัครใจ)ให้กับลูกค้าที่มีต้นเงินคงเป็นหนี้หรือดอกเบี้ยคงเป็นหนี้ก่อนวันที่ 1 กรกฎาคม 2564 และไม่มีสถานะเป็นหนี้ค้าง (NPLs)
เพื่อเป็นการผ่อนคลายความกังวลใจและลดภาระการชำระหนี้ให้แก่ลูกค้าที่ได้รับผลกระทบทั้งทางตรงและทางอ้อมเป็นการชั่วคราวให้สามารถนำเงินที่จะต้องชำระหนี้ไปใช้ในการดำเนินชีวิตประจำวันหรือใช้เสริมสภาพคล่องในการประกอบธุรกิจในช่วงที่มีความไม่แน่นอนสูงโดยมีจำนวนผู้ที่มีสิทธิ์เข้าร่วมโครงการ 3,585,296 ราย ต้นเงินกว่า 1,051,546 ล้านบาท
สำหรับลูกค้าที่ได้รับประโยชน์ตามมาตรการดังกล่าวแบ่งเป็น 4 กลุ่มประกอบด้วย 1) กลุ่มลูกค้าเกษตรกรและบุคคล,2) กลุ่มลูกค้าผู้ประกอบการ (นิติบุคคล) และสถาบันได้แก่ กลุ่มบุคคลกองทุนหมู่บ้านหรือชุมชนเมืองผู้ประกอบการ (นิติบุคคล) องค์กรกลุ่มเกษตรกรและสหกรณ์(ไม่รวมสหกรณ์ออมทรัพย์ส่วนราชการ/รัฐวิสาหกิจ)
3)กลุ่มลูกค้าที่มีหนี้เงินกู้ตามโครงการสนับสนุนสินเชื่อฉุกเฉินสำหรับผู้ได้รับผลกระทบจากไวรัสโควิด-19 และสินเชื่อรายย่อยเพื่อใช้จ่ายฉุกเฉินระยะที่ 1-2 โดยมีเงื่อนไขกรณีงวดชำระรายปีพักชําระเงินต้นที่ถึงกําหนดชําระตั้งแต่งวดเดือนกรกฎาคม2564 ถึงงวดเดือนมีนาคม 2565 เป็นระยะเวลา 1 ปี นับจากงวดชําระเดิมและกรณีงวดชําระรายเดือน/รายไตรมาส/ราย 6 เดือนพักชำระต้นเงินที่ถึงกำหนดชำระตั้งแต่งวดเดือนกรกฎาคม2564 ถึงงวดเดือนธันวาคม 2564โดยนำต้นเงินงวดตามที่ลูกค้าสมัครเข้าร่วมโครงการและต้นเงินงวดเดือนถัดไป (รวม 2 งวด) ไปรวมไว้กับงวดสุดท้ายของสัญญา
ทั้งนี้ ทุกกรณีงวดชำระจะได้รับการพักชำระดอกเบี้ยเงินกู้ที่ถึงกำหนดชำระตั้งแต่งวดเดือนกรกฎาคม 2564 ถึงงวดเดือนธันวาคม 2564 เป็นระยะเวลา 2 เดือนนับจากงวดชำระเดิม, และ 4) กลุ่มลูกค้าที่ใช้สินเชื่อระบบอิสลาม ทั้งที่เป็น เกษตรกรบุคคลผู้ประกอบการและสถาบัน (กลุ่มบุคคลกองทุนหมู่บ้านหรือชุมชนเมืองผู้ประกอบการ (นิติบุคคล) องค์กรกลุ่มเกษตรกร และสหกรณ์ (ไม่รวมสหกรณ์ออมทรัพย์ส่วนราชการ/รัฐวิสาหกิจ)
ในกรณีที่มีงวดชำระรายปีจะพักชำระทุนเงินที่ถึงกำหนดชำระตั้งแต่งวดเดือนกรกฎาคม 2564 ถึงงวดเดือนมีนาคม 2565เป็นระยะเวลา 1 ปีนับจากงวดชำระเดิมและพักชำระค่าธรรมเนียม/กำไรที่ถึงกำหนดชำระตั้งแต่งวดเดือนกรกฎาคม 2564 ถึงงวดเดือนธันวาคม 2564 เป็นระยะเวลา 2 เดือนนับจากงวดชำระเดิมและกรณีงวดชําระรายเดือน/รายไตรมาส/ราย 6 เดือนพักชำระทุนเงินและค่าธรรมเนียม/กำไรสำหรับสัญญาที่มีงวดชำระตั้งแต่งวดเดือนกรกฎาคม 2564 ถึงงวดเดือนธันวาคม 2564(เงื่อนไขเป็นไปตามที่ธนาคารกำหนด)
อย่างไรก็ตาม โครงการพักชำระหนี้ดังกล่าวข้างต้นต้องไม่เป็นสัญญาเงินกู้ที่อยู่ในโครงการที่ได้รับการช่วยเหลือหรือมีเงื่อนไขพิเศษตามมาตรการอื่นและโครงการนโยบายรัฐรวมถึงโครงการสินเชื่อบุคลากรภาครัฐหรือโครงการอื่นที่ให้การสนับสนุนสินเชื่อแก่ข้าราชการหรือพนักงานรัฐวิสาหกิจ
นายธนารัตน์ กล่าวอีกว่า มาตรการดังกล่าวในขณะนี้มีลูกค้า ธ.ก.ส.ที่แจ้งความประสงค์เข้าร่วมโครงการแล้ว 194,728 ราย แบ่งเป็นลูกค้ารายบุคคลจำนวน 187,792 ราย และลูกค้าประเภทสถาบันและนิติบุคคลจำนวน 6,936แห่ง โดยลูกค้าที่สนใจสามารถแจ้งความประสงค์การเข้าร่วมโครงการพักชำระหนี้ต้นเงินได้ผ่านช่องทาง LINE Official : BAAC Family เว็บไซต์ https://www.baac.or.th และ Call Center 02 555 0555 หรือที่ ธ.ก.ส. ทุกสาขาทั่วประเทศได้ตั้งแต่บัดนี้ถึงวันที่ 15 ธันวาคม 2564