ลงกรณ์ พลบุตร
“อลงกรณ์” เผยที่ประชุมคณะกรรมการส่งเสริมสินค้าและผลิตผลการเกษตรมาตรฐาน “ฮาลาล” ดันเขตอุตสาหกรรมฮาลาลและการส่งเสริมความร่วมมือระหว่าง 5 จังหวัดภาคใต้กับ 5 รัฐภาคเหนือของมาเลเซีย ภายใต้กรอบความร่วมมืออาเซียนและ IMT-GT เป้าหมายให้เป็นฮับฮาลาลโลก พร้อมตั้ง 4 คณะอนุกรรมการ เพื่อพัฒนาศักยภาพวินค้าอาหารฮาลาล หวังเจาะตลาด 57 ประเทศมุสลิม
นายอลงกรณ์ พลบุตร ที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เปิดเผยว่า ตามน ดร.เฉลิมชัย ศรีอ่อน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ได้แต่งตั้งคณะกรรมการส่งเสริมสินค้าและผลิตผลการเกษตรมาตรฐาน “ฮาลาล” เพื่อสนองโยบายของรัฐบาลที่วางเป้าหมายให้ไทยเป็นประเทศผู้ส่งออกอาหารอันดับท็อปเทนของโลก โดยเฉพาะผลิตภัณฑ์อาหารฮาลาลนั้น กรรมการชุดฯชุดนี้ มีการประชุมทางไกลต่อเนื่องทุกสัปดาห์
ล่าสุดครั้งที่ 3 เมื่อวันที่ 7 พ.ค. 2563 ที่ผ่านมา โดยมีการจัดตั้งคณะอนุกรรมการ 4 คณะ คือ 1. คณะอนุกรรมการจัดทำวิสัยทัศน์และนโยบายการส่งเสริมสินค้าและผลิตผลการเกษตรมาตรฐาน “ฮาลาล” 2. คณะอนุกรรมการส่งเสริมการค้าสินค้าและผลิตผลการเกษตรมาตรฐาน “ฮาลาล” 3. คณะอนุกรรรมการส่งเสริมการผลิตและการลงทุนเกี่ยวกับผลิตผลการเกษตรมาตรฐาน “ฮาลาล” และ 4. คณะอนุกรรมการพัฒนาระเบียงเศรษฐกิจฮาลาลมีรองผู้อำนวยการศูนย์อำนวยการบริหารจังหวัดชายแดนภาคใต้ (ศอ.บต.) เป็นประธานโดยคำนึงถึงพื้นที่ชายแดนภาคใต้เป็นหลัก
ภาพ : สำนักข่าวอิศรา
พร้อมกันนี้ยังได้หารือเพิ่มเติมเกี่ยวกับการขยายพื้นที่และยกระดับการให้สิทธิประโยชน์การลงทุนในพื้นที่ชายแดนภาคใต้ และความเป็นไปได้ในการจัดงานแสดงสินค้าฮาลาล (Halal Expo) ในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้เมื่อสถานการณ์โควิด-19 คลี่คลายรวมทั้งการสนับสนุนเขตอุตสาหกรรมฮาลาลและการส่งเสริมความร่วมมือระหว่าง 5 จังหวัดภาคใต้กับ 5 รัฐภาคเหนือของมาเลเซีย ตลอดจนกรอบความร่วมมืออาเซียนและ IMT-GT คือ ไทย มาเลเซีย และอินโดนีเซีย
นายอลงกรณ์ กล่าวอีกว่า ตามยุทธศาสตร์การส่งเสริมและพัฒนาศักยภาพธุรกิจสินค้าและบริการฮาลาล (พ.ศ. 2559-2563) มีหลายหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ได้แก่ สถาบันอาหาร และสำนักงานคณะกรรมการกลางอิสลามแห่งประเทศไทย (สกอท.) ซึ่งที่ผ่านมาได้ร่วมกันวางระบบและให้การรับรองฮาลาลผู้ประกอบการขนาดกลางและขนาดย่อย (SME) และวิสาหกิจชุมชนกว่า 500 กิจการ และให้ความรู้เพื่อพัฒนาขีดความสามารถผู้ประกอบการเจ้าหน้าที่ผู้ตรวจรับรองและประชาชน จำนวนกว่า 6,000 คน
อย่างไรก็ตาม การวางโครงสร้างและการพัฒนาระบบโลจิสติกส์เป็นสิ่งสำคัญที่ช่วยเปิดโอกาสในการกระจายสินค้าไปถึงมือประชากรชาวมุสลิมกว่า 1,960 ล้านคน ซึ่งอยู่ในประเทศสมาชิกองค์การความร่วมมืออิสลาม (Organisation of Islamic Cooperation – OIC)จำนวน 57 ประเทศ โดยได้ประสานสมาพันธ์ผู้ให้บริการโลจิสติกส์ไทย (TLSP) ให้วางระบบและร่างผัง Global Landscape ด้านโลจิสติกส์ให้ครอบคลุมการจัดการคลังสินค้า รวมถึงการบริหารจัดการการขนส่งสินค้าไปยังประเทศปลายทางต่างๆ ให้สะดวกรวดเร็วและมีประสิทธิภาพมากขึ้น
ทั้งนี้เพื่อให้สินค้าฮาลาลเป็นทางเลือกหนึ่งของผู้บริโภคไทย โดยจะมีการสร้างธุรกิจรูปแบบใหม่เพื่อตอบรับความต้องการผู้บริโภค อาทิ การสร้างคลังสินค้าฮาลาลหรือการสร้างศูนย์บริหารจัดการโลจิสติกส์ฮาลาลเพื่อเชื่อมโยงไปทั่วโลก โดยเบื้องต้นได้หารือกับสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ (UAE) ในการจัดหาเครื่องบินขนส่งสินค้าเที่ยวละประมาณ 100 ตัน เพื่อส่งออกสินค้าไปทั่วโลกโดยมีมูลค่าตลาดฮาลาลสูงถึง 2 ล้านล้านดอลลาร์ ซึ่งมีโดยเฉพาะกลุ่มประเทศตะวันออกกลาง” นายอลงกรณ์ กล่าว
นอกจากนี้ ได้ขอให้ผู้แทนหน่วยงานภายใต้กระทรวงพาณิชย์ที่เกี่ยวข้องและสถาบันอาหารดำเนินการศึกษาข้อมูลเกี่ยวกับประเทศที่ไม่ใช่ประเทศมุสลิมที่นิยมบริโภคอาหารฮาลาล เพื่อขยายขอบข่ายการดำเนินงานในอนาคตให้ครอบคลุมประชากรที่ไม่ได้อยู่ในกลุ่มประเทศ OIC โดยไปศึกษาว่าไทยจะส่งเสริมการเกษตรเพื่อแปรรูปส่งออกอาหารฮาลาลประเภทใดไปยังกลุ่มประเทศนี้ รวมถึงมีประเทศคู่แข่งและมีส่วนแบ่งตลาดอย่างไร โดยนำข้อมูลที่ได้มาพิจารณาร่วมกับระบบโลจิสติกส์ในปัจจุบัน เพื่อประเมินศักยภาพในการแข่งขันของไทย และไทยสามารถนำเข้าสินค้าอะไรจากประเทศกลุ่มนี้ได้
สำหรับประเด็นการตรวจรับรองระบบงานด้านฮาลาลของสินค้าอาหารไทยที่ส่งออกไป UAE ที่ผ่านมาสำนักงานมาตรฐานสินค้าเกษตรและอาหารแห่งชาติ (มกอช.) ร่วมกับกรมปศุสัตว์และสำนักงานคณะกรรมการอิสลามกลางแห่งประเทศไทย (สกอท.) ได้หารือกับหน่วยงาน Emirates Authority for Standardization and Metrology (ESMA) เพื่อเร่งแก้ไขปัญหาที่ไทยไม่สามารถส่งออกสินค้าอาหารฮาลาลไปยัง UAE ได้ โดยได้เจรจาจนประสบความสำเร็จ ทำให้ UAE ให้การรับรองระบบงานฮาลาลของ สกอท. ส่งผลให้ไทยสามารถส่งสินค้าฮาลาล โดยเฉพาะเนื้อไก่แช่เย็น/แช่แข็ง รวมถึงผลิตภัณฑ์อาหารที่มีส่วนประกอบของสัตว์ปีกไปยัง UAE ได้แล้ว
“ ล่าสุดนี้ทางหน่วยงาน ESMA ได้เสนอให้ มกอช. พัฒนาศักยภาพให้สามารถตรวจรับรองระบบงานสำนักงานคณะกรรมการกลางอิสลามแห่งประเทศไทย (สกอท.) ได้ในอนาคต เป็นการลดขั้นตอน และเกิดประโยชน์อย่างมากต่อผู้ประกอบการไทยในการส่งออกสินค้าฮาลาลไทยไปยังสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ (UAE) และประเทศมุสลิมอื่นๆ ในอนาคต” นายอลงกรณ์ กล่าว