สยามคูโบต้า ประกาศสู้ภัยแล้งด้วยการเน้นใช้นวัตกรรมเกษตรแบบครบวงจร ตั้งเป้าอีก 5 ปีข้างยอดขายต้องทะลุแสนล้านบาท ขณะที่เผยผลประกอบการครึ่งปีแรกปี 2562 เติบโต 9% ยอดขายรวมมั่น 2.7 หมื่นล้าน มั่นใจจากปัจจัยสินค้าเกษตรทั้งข้าว ข้าวโพด และมันสำปะหลังราคายังอยู่ ทำให้ทั้งปีของปีนี้ยอดขายรวมได้ตามเป้ากว่า 6 หมื่นล้านบาท
นายฮิโรโตะ คิมุระ กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัทสยามคูโบต้าคอร์ปอเรชั่น จำกัด เปิดเผยถึงผลประกอบการในครึ่งปีแรกของปี 2562 สยามคูโบต้าว่า ด้วยวิสัยทัศน์ของบริษัทที่ได้มีการปรับแผนการดำเนินงานให้สอดคล้องกับการเกษตรสมัยใหม่ที่เน้นในด้านนวัตกรรมและเทคโนโลยีใหม่ๆ ทำให้บริษัทมียอดขายอยู่ที่ 27,000 ล้านบาท แบ่งเป็นรายจากผลประกอบการภายในประเทศ 17,000 ล้านบาท และต่างประเทศ 10,000 ล้านบาท คิดเป็นสัดส่วน 60:40 เติบโตขึ้นประมาณ 9 % เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปี 2561
เนื่องจากเกษตรกรมีกำลังซื้อเพิ่ม จากราคาพืชหลักข้าว ข้าวโพด มันสำปะหลังอยู่ในเกณฑ์ดี แม้จะมีราคาลดลงจากปีก่อนเล็กน้อย ประกอบกับภาครัฐบาลมีนโยบายส่งเสริมการใช้เครื่องจักรกลทดแทนแรงงานคนในภาคการเกษตร อีกทั้งบริษัทฯ ได้มีการเปิดตัวสินค้าใหม่ในช่วงครึ่งปีแรก ได้แก่ แทรกเตอร์ขนาด 57 แรงม้า รุ่น MU5702 ซึ่งเจาะกลุ่มเกษตรกรผู้ปลูกพืชไร่ผสม ติดตั้งระบบคูโบต้า นวัตกรรมอัจฉริยะ KIS (KUBOTA Intelligence Solutions) และเครื่องหยอดข้าว รุ่น DS10 เพื่อส่งเสริมการผลิตข้าวให้มีคุณภาพ ในส่วนของตลาดต่างประเทศ สัดส่วนการส่งออกตลาดหลักยังคงเป็นประเทศกัมพูชา ลาว และเมียนมาร์
อย่างไรก็ตาม แม้ว่าปัจจุบันจะมีเรื่องที่น่ากังวลต่อภาพรวมของตลาดเครื่องจักรกลการเกษตร โดยเฉพาะปัญหาภัยแล้ง ในภาคเหนือ และอีสาน อาจทำให้กลุ่มลูกค้าเกษตรกร อาจจะชะลอการลงทุนซื้อเครื่องจักรกลทางการเกษตรอยู่บ้าง เพราะกลัวว่า ผลผลิตทางการเกษตรไม่ได้ตามเป้าหมาย แต่ทางบริษัทได้ปรับเปลี่ยนการทำการตลาด ที่เน้นจำเป็นกับสภาพปัญหา อาทิ มีการนำเสนอรถแทรกเตอร์สำหรับขุดบ่อน้ำ เพื่อช่วยแก้ปัญหาภัยแล้ง ให้กับกลุ่มลูกค้าเกษตรกรในภาคเหนือและอีสาน และบุกขยายตลาดในพื้นที่ไม่ประสบภัยแล้งให้มากขึ้น
ฮิโรโตะ คิมุระ
นายฮิโรโตะ กล่าวอีกว่า ในปี 2562 บริษัทฯตั้งเป้ารายได้ไว้ที่ 60,000 ล้านบาท เติบโตเพิ่มขึ้นจากปี 2561 ประมาณ 12 % มั่นใจว่า บริษัทฯ จะสามารถดำเนินการได้ตามเป้าหมายที่วางไว้ เนื่องจากสถานการณ์ปัจจุบัน พบว่าเกษตรกรไทยมีรายได้สูงขึ้นจากผลผลิตที่เพิ่มขึ้น ด้วยปัจจัยสภาพอากาศ ระบบการจัดการน้ำ นโยบายด้านการเกษตรที่วางแผนให้สอดคล้องกับความต้องการของตลาด ตลอดจนนวัตกรรมการเกษตร รวมทั้งนโยบายปรับปรุงชุมชนเมือง ทำให้รถขุดขายดี ขณะที่สถานการณ์ในตลาดต่างประเทศ สยามคูโบต้ายังคงเป็นอันดับ 1 ที่ส่งออกเครื่องจักรกลการเกษตร พร้อมตั้งเป้านำกลยุทธ์ที่ประสบความสำเร็จในไทยไปปรับใช้ในตลาดต่างประเทศโดยเฉพาะงานขายและบริการ พร้อมชูประเด็นสินค้าครบวงจร และอุปกรณ์ที่เหมาะกับการใช้งานในกลุ่มพืชหลัก
“ภายในอีก 5 ปีข้างหน้าหรือในปี 2567 บริษัทยังตั้งเป้าไว้ว่าจะมียอดขายอยูที่ 100,000 ล้านบาท หรือ เติบโตปีละ 10% มีสัดส่วนยอดขายในประเทศ 50% และต่างประเทศ 50% เพราะเชื่อมั่นในศักยภาพตลาดทั้งในประเทศ และต่างประเทศ โดยเฉพาะตลาดในประเทศอาเซียนที่กำลังเติบโต ทางบริษัทจึงได้เตรียมลงทุนด้านการผลิต เพื่อเพิ่มกำลังผลิตปีละ 300-400 ล้านบาทภายในช่วง 5 ปีนี้ เพื่อเพิ่มกำลังผลิตในกลุ่มรถแทรกเตอร์ จาก 38,000 คันในปัจจุบัน เป็น 60,000 คัน และรถเกี่ยวข้าวนวดข้าว จาก 3,400 คันในปัจจุบัน เป็น 6,000 คัน” นายฮิโรโตะ กล่าว
กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัทสยามคูโบต้าคอร์ปอเรชั่น กล่าวถึงรูปแบบการทำเกษตรของญี่ปุ่น เพื่อนำมาประยุกต์ใช้กับการเกษตรในประเทศไทยด้วยว่า ปัจจุบันภาคการเกษตรในประเทศญี่ปุ่นกำลังประสบปัญหาด้านแรงงานที่น้อยลงและมีแต่เกษตรกรที่สูงอายุ จึงมีการปรับเปลี่ยนมาเป็นการรวมกลุ่มทำเกษตรแปลงใหญ่ และใช้เครื่องจักรกลการเกษตรเข้ามาช่วย
กระนั้นตอนนี้เริ่มจะมีเกษตรกรมืออาชีพรุ่นใหม่ (Smart Farmer) มีแนวโน้มจะเพิ่มมากขึ้นบ้าง ญี่ปุ่นจึงคิดค้นนวัตกรรมใหม่ๆ เพื่อช่วยลดต้นทุนและเพิ่มประสิทธิภาพ ตลอดจนสนับสนุนให้คนรุ่นใหม่ใส่ใจการทำเกษตรมากขึ้น อาทิ ระบบจัดการฟาร์ม (KSAS: Kubota Smart Agri System) เทคโนโลยีไร้คนขับ (Autonomous Agricultural Machinery)ทั้งรถแทรกเตอร์ และรถดำนา โดรนฉีดพ่นเพื่อการเกษตร (Spraying Drone) ซึ่งมีใช้การใช้แล้วในประเทศญี่ปุ่น สยามคูโบต้าจะร่วมพัฒนาเพื่อนำมาประยุกต์ใช้ให้เหมาะสมกับพื้นที่การเกษตรของประเทศไทย รวมถึงประเทศในแถบอาเซียน และประเทศอื่นๆต่อไป
ด้านนายสมศักดิ์ มาอุทธรณ์ กรรมการรองผู้จัดการใหญ่อาวุโส เปิดเผยถึง ภาพรวมของตลาดเครื่องจักรกลการเกษตรของไทยช่วงครึ่งปีแรกว่า มีการเติบโต 4-5% ปัจจัยหลักมาจากการขยายพื้นที่เพาะปลูกพืชหลักของประเทศ ส่งผลทำให้ความต้องการเครื่องจักรกลการเกษตรเพิ่มขึ้น ซึ่งในส่วนของสยามคูโบต้านั้นก็มียอดขายแทรกเตอร์ที่เพิ่มขึ้นถึง 16% เมื่อเทียบกับปี 2561 นอกจากนี้บริษัทยังได้มีพัฒนาเครื่องจักรกลการเกษตรที่หลากหลายมากขึ้น เน้นกระบวนการทำงานและการแก้ปัญหาด้านการเกษตร เพื่อให้เกษตรกรได้ผลผลิตที่มีคุณภาพ ตลอดจนมีขั้นตอนการจัดการฟาร์มที่มีประสิทธิภาพและครบวงจร จึงทำให้ผลการดำเนินงานของเราเติบโตไปตามเป้าที่วางไว้
สมศักดิ์ มาอุทธรณ์
“สยามคูโบต้าดำเนินธุรกิจสอดคล้องกับยุทธศาสตร์ชาติ และนโยบายเกษตร 4.0 ของรัฐบาล โดยมุ่งมั่นในการเป็นผู้นำนวัตกรรมการเกษตรเพื่ออนาคต ด้วยสินค้าและบริการแบบครบวงจร พร้อมทั้งคิดค้นนวัตกรรมการเพาะปลูกที่มีประสิทธิภาพและความแม่นยำ ตลอดจนพัฒนาในด้านสินค้า อะไหล่ บริการหลังการขาย และเครือข่ายผู้แทนจำหน่าย รวมถึงนำ IoT (Internet of Things) มาใช้ในระบบบริหารจัดการเครื่องจักรเพื่อสอดรับยุคดิจิทัล อาทิ ระบบ Kubota Intelligence Solutions (KIS)”นายสมศักดิ์ กล่าว
นอกจากนี้ สยามคูโบต้า ได้ดำเนินโครงการที่เป็นประโยชน์แก่เกษตรกรไทย ได้แก่ โครงการเกษตรปลอดการเผา หรือ ZERO Burn โดยร่วมมือกับหน่วยงานพันธมิตรทั้งภาครัฐและเอกชน เผยแพร่การทำเกษตรปลอดการเผา โดยตั้งเป้าให้พื้นที่ภาคการเกษตรของไทยกว่า 140 ล้านไร่ ปลอดการเผา 100% ภายในระยะเวลา 3 ปี ซึ่งได้มีการลงนามในบันทึกข้อตกลงร่วมกับหน่วยงานพันธมิตร การลงพื้นที่รณรงค์กลุ่มเกษตรกร และเมื่อไม่นานมานี้ได้มีการจัดงานสัมมนา Agri Forum 2019 เกษตรปลอดการเผา ซึ่งมีเกษตรกรให้ความสนใจเข้าร่วมงานกว่าพันคน
ส่วนความคืบหน้าการก่อตั้งคูโบต้าฟาร์ม ที่อ.บ้านบึง จ.ชลบุรี เพื่อเป็นฟาร์มสร้างประสบการณ์เกษตรสมัยใหม่ของภูมิภาคอาเซียน บนเนื้อที่มากกว่า 220 ไร่ โดยใช้นวัตกรรมเกษตรครบวงจร เพื่อยกระดับให้เป็นเกษตรแม่นยำที่มีประสิทธิภาพมากขึ้น และให้ผลลัพธ์คุ้มค่าทุกตารางเมตร รวมถึงบริหารจัดการรายได้อย่างยั่งยืน เพื่อนำพาภูมิภาคอาเซียนไปสู่เกษตรยุคใหม่อย่างเต็มภาคภูมิ คูโบต้าฟาร์มเริ่มก่อสร้างตั้งแต่เดือนมีนาคม 2561
ขณะนี้แล้วเสร็จกว่า 40% ใช้งบลงทุนไป 30 ล้านบาท ในการก่อสร้างเฟสแรก ซึ่งได้รับการตอบรับทั้งภาครัฐและเอกชนเข้าร่วมศึกษาดูงานแล้วกว่า 4,000 ราย ทางสยามคูโบต้าคาดว่าจะสามารถเปิดบริการอย่างเต็มรูปแบบได้ในปี 2563 โดยมีแผนพัฒนาเฟส 2 และ 3 ให้แล้วเสร็จสมบูรณ์ภายในปี 2568
ล่าสุดสยามคูโบต้า ได้ตัดสินใจร่วมเป็นผู้สนับสนุนหลักอย่างเป็นทางการให้กับทัพช้างศึก ทีมฟุตบอลทีมชาติไทย ที่จะต้องไปแข่งขันในกีฬาโอลิมปิก ที่ประเทศญี่ปุ่นเป็นเจ้าภาพ พร้อมได้ทำการเปิดตัวสินค้ารุ่นพิเศษภายใต้ชื่อ CHANGSUEK EDITION ด้วย