ซีพีเอฟ เดินหน้าบรรเทาผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อม ตลอดห่วงโซ่การผลิต ตอกย้ำความมุ่งมั่นร่วมลดปริมาณการปล่อยก๊าซเรือนกระจก หนึ่งในสาเหตุของภาวะโลกร้อนและมลพิษทางอากาศ พร้อมสนับสนุนเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืนขององค์การสหประชาชาติ ประกาศเตรียมเปิดตัว โครงการ “CPF Coal Free 2022” ยกเลิกใช้ถ่านหินเป็นเชื้อเพลิงในประเทศไทยในปี 2565 ก่อนขยายไปยังกิจการต่างประเทศ
นายสุขสันต์ เจียมใจสว่างฤกษ์ ประธานคณะผู้บริหาร ธุรกิจเกษตรอุตสาหกรรมและกรรมการผู้จัดการใหญ่ (ร่วม)บริษัท เจริญโภคภัณฑ์อาหาร จำกัด (มหาชน) หรือ ซีพีเอฟ เปิดเผยว่า บริษัทฯดำเนินธุรกิจโดยตระหนักถึงความสำคัญของการลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม ส่งเสริมการอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติครอบคลุมตลอดห่วงโซ่การผลิต รวมทั้งพัฒนานวัตกรรมเพื่อสิ่งแวดล้อมควบคู่ไปกับการประยุกต์ใช้เทคโนโลยีสมัยใหม่ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการบริหารจัดการด้านพลังงาน น้ำ ของเสีย และลดปริมาณการปล่อยก๊าซเรือนกระจก โดยมุ่งมั่นเป็นบริษัผลิตอาหารที่มีส่วนร่วมรักษาดุลยภาพของสิ่งแวดล้อมโลก และสนับสนุนเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืนขององค์การสหประชาชาติ (Sustainable Development Goals : SDGs)
สุขสันต์ เจียมใจสว่างฤกษ์
นอกจากนี้ เพื่อตอกย้ำความมุ่งมั่นของบริษัทฯ ในการมีส่วนร่วมบรรเทาผลกระทบจากปัญหาโลกร้อน และสนับสนุนเป้าหมายด้านสิ่งแวดล้อมยั่งยืน ซีพีเอฟเตรียมเปิดตัว โครงการ “CPF Coal Free 2022” มีเป้าหมายยกเลิกการใช้ถ่านหินเป็นเชื้อเพลิงสำหรับกิจการในประเทศไทย ในปี 2565 และขยายไปยังกิจการในต่างประเทศ โดยจะนำชีวมวลซึ่งเป็นเชื้อเพลิงหมุนเวียนมาใช้ทดแทนถ่านหินในการผลิตไอน้ำ ซึ่งจะช่วยลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกได้มากกว่า 70,000 ตันคาร์บอนไดออกไซด์ต่อปี
ทั้งนี้ ซีพีเอฟได้ประกาศเป้าหมายด้านสิ่งแวดล้อมยั่งยืน ภายในปี 2563- 2568 โดยมีเป้าหมายลดปริมาณการใช้พลังงานต่อหน่วยการผลิต ร้อยละ 15 ลดปริมาณการดึงน้ำมาใช้ต่อหน่วยการผลิต ร้อยละ 30 ลดปริมาณของเสียที่กำจัดโดยการฝังกลบและเผาต่อหน่วยการผลิต ร้อยละ 35 และลดปริมาณการปล่อยก๊าซเรือนกระจกต่อหน่วยการผลิต ร้อยละ 25 ดำเนินการผ่านโครงการต่างๆ อาทิ โครงการซีพีเอฟโซลาร์รูฟท็อป (CPF Solar Rooftop) ซึ่งเป็นโครงการผลิตกระแสไฟฟ้าจากพลังงานแสงอาทิตย์แบบติดตั้งบนหลังคาโรงงาน 34 แห่ง มีแผนติดตั้งแผงโซลาร์เซลล์แล้วเสร็จทั้งหมดภายในปี 2562 คาดว่าจะช่วยลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกได้ 28,000 ตันคาร์บอนไดออกไซด์ต่อปี
ขณะเดียวกัน บริษัทฯเพิ่มสัดส่วนการใช้พลังงานหมุนเวียนจากร้อยละ 21 ของสัดส่วนการใช้พลังงานทั้งหมดในปี 2560 เป็นร้อยละ 25 ในปี 2561 และดำเนินโครงการด้านการจัดการพลังงาน อาทิ โครงการนำก๊าซชีวภาพมาผลิตไฟฟ้า โดยเมื่อปี 2561 ช่วยลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกได้ 322,000 ตันคาร์บอนไดออกไซด์ โครงการนวัตกรรมอาหารสุกรรักษ์สิ่งแวดล้อม ซึ่งดำเนินการในประเทศไทยและขยายผลไปยังธุรกิจผลิตอาหารสุกรในอีก 7 ประเทศ คือ ลาว กัมพูชา เวียดนาม ฟิลิปปินส์ จีน ไต้หวัน และรัสเซีย สามารถลดก๊าซเรือนกระจกได้กว่า 41,000 ตันคาร์บอนไดออกไซด์ เป็นต้น
นอกจากนี้บริษัทฯยังให้ความสำคัญกับการลดปริมาณขยะพลาสติก โดยพัฒนาการออกแบบและจัดการบรรจุภัณฑ์อย่างยั่งยืนบนพื้นฐานแนวคิดเศรษฐกิจหมุนเวียน (Circular Economy) เพื่อใช้ทรัพยากรในการผลิตบรรจุภัณฑ์ให้เกิดประโยชน์สูงสุด ลดปัญหาขยะจากบรรจุภัณฑ์ ส่งเสริมการใช้วัสดุที่ช่วยลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม ซึ่งซีพีเอฟมีเป้าหมายระยะยาวด้านบรรจุภัณฑ์พลาสติกในประเทศไทยต้องนำกลับมาใช้ซ้ำ (Reusable) นำมาใช้ใหม่ (Recyclable) นำไปผลิตเป็นสินค้าใหม่ได้ (Upcyclable) หรือ สามารถย่อยสลายได้ (Compostable) 100% ในปี 2568 สำหรับกิจการในประเทศ ส่วนกิจการในต่างประเทศจะดำเนินการให้แล้วเสร็จในปี 2573
“ซีพีเอฟได้จัดหาบรรจุภัณฑ์ที่มีการนำวัสดุรีไซเคิลมาใช้ในบรรจุภัณฑ์ที่ไม่มีการสัมผัสกับอาหารโดยตรงหรือใช้สำหรับการขนส่ง เช่น กล่องกระดาษลูกฟูก ซึ่งใช้วัสดุรีไซเคิลในการผลิตตั้งแต่ 70-100% ขณะที่สินค้ากลุ่มหมูสดและไก่สดแช่เย็นบรรจุในถาดพลาสติกชีวภาพ (Bioplastic) ทำจากวัสดุธรรมชาติที่ย่อยสลายได้ (Polylactic Acid : PLA) นับเป็นรายแรกของประเทศไทย โดยในปี 2561 สามารถลดการใช้ถาด PET ได้กว่า 3.9 ล้านชิ้น หรือกว่า 60 ตัน เทียบเท่ากับการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก 132 ตันคาร์บอนไดออกไซด์” นายสุขสันต์ กล่าว
ในด้านของกิจกรรมเพื่อสังคม ซีพีเอฟสนับสนุนพนักงานร่วมเป็นเครือข่ายจิตอาสาอนุรักษ์และร่วมฟื้นฟูแหล่งทรัพยากรธรรมชาติทั้งภายในและรอบรั้วโรงงานและฟาร์ม โดยในปี 2561 ร่วมกับภาครัฐ ภาคประชาสังคม และชุมชน อนุรักษ์ ฟื้นฟู และปลูกป่าใหม่เพื่อเพิ่มพื้นที่สีเขียวให้กับประเทศ ทั้งพื้นที่ป่าชายเลนและป่าต้นน้ำ รวมถึงเพิ่มพื้นที่สีเขียวในสถานประกอบการครอบคลุมพื้นที่ 10,079 ไร่ อาทิ การดำเนินโครงการ ซีพีเอฟ รักษ์นิเวศ ลุ่มน้ำป่าสัก เขาพระยาเดินธง ซึ่งซีพีเอฟ จับมือกรมป่าไม้ องค์การบริหารจัดการก๊าซเรือนกระจก (อบก.) และชุมชน ดำเนินการปลูกป่าในพื้นที่เขาพระยาเดินธง ต.พัฒนานิคม อ.พัฒนานิคม จ.ลพบุรี 5,971 ไร่ ช่วยกักเก็บคาร์บอนได้ 38,108 ตันคาร์บอนไดออกไซด์
องค์การสหประชาชาติ ประกาศให้วันที่ 5 มิถุนายน ของทุกปี เป็นวันสิ่งแวดล้อมโลก (World Environment Day) เป็นอีกวันหนึ่งที่กระตุ้นเตือนให้ประชากรทั่วโลกเห็นคุณค่าของสิ่งแวดล้อม ร่วมมือทำกิจกรรมเพื่ออนุรักษ์สิ่งแวดล้อมและทรัพยากรธรรมชาติ โดยปี 2562 โครงการสิ่งแวดล้อมแห่งสหประชาชาติ (United Nations Environment Programme หรือ UNEP )รณรงค์ภายใต้ คำขวัญ Beat Air Pollution หรือ หยุดหมอกควันและอากาศพิษ ซึ่งซีพีเอฟในฐานะผู้นำธุรกิจเกษตรอุตสาหกรรมและอาหารครบวงจร ขับเคลื่อนองค์กรภายใต้กลยุทธ์ 3 เสาหลักสู่ความยั่งยืน “อาหารมั่นคง สังคมพึ่งตน ดินน้ำป่าคงอยู่” เพื่อนำไปสู่การเป็น “ครัวของโลก”ที่ยั่งยืนตลอดไป